วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ดูแลสุขภาพอย่างไร ให้ตนเองดูดีอยู่เสมอ

การปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน 

สุขภาพของคนเราจะดีหรือเสื่อมนั้น ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์แข็งแรง ของอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา หู จมูก และฟัน ซึ่งเป็นอวัยวะภายนอกร่างกาย ที่เราควรดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดี และแข็งแรง เพราะถ้าเสื่อมโทรม หรือผิดปกติ จะส่งผลกระทบต่ออวัยวะส่วนอื่นๆ ได้ ดังนั้น เราต้องระวังรักษาส่วนต่างๆ ของร่างกายให้สะอาด ตลอดจนการออกกำลังกาย และการพักผ่อน เพื่อทำให้ร่างกายมีความสมบูรณ์ แข็งแรง และมีผลทำให้จิตใจเบิกบาน แจ่มใส สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุข

การดูแลสุขภาพตนเอง ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ และแข็งแรงอยู่เสมอ จะต้องปฏิบัติกิจกรรม ในด้านการส่งเสริมสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ในชีวิตประจำวัน โดยยึดหลักสุขบัญญัติ 10 ประการ และสำรวจสุขภาพตนเอง ดังนี้

1. ดูแลรักษาร่างกาย และของใช้ให้สะอาด
อาบน้ำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การอาบน้ำให้สะอาด จะต้องใช้สบู่ฟอกทุกส่วนของร่างกายให้ทั่ว และมีการขัดถูขี้ไคล บริเวณลำคอ รักแร้ แขนขา ง่ามนิ้วมือ ง่ามนิ้วเท้า ขาหนีบ โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำ และเช็ดตัวให้แห้ง ด้วยผ้าที่สะอาด จะช่วยให้ร่างกายสะอาด และสดชื่น
สระผม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งการสระผมช่วยให้ผสม และหนังศีรษะสะอาด ไม่สกปรก หรือมีกลิ่นเหม็น โยใช้สบู่ หรือแชมพูสระผมจนสะอาด แล้วเช็ดผมให้แห้ง หร้อมทั้งหวีผมให้เรียบร้อย การหมั่นหวีผม จะช่วยนวดศีรษะให้เลือดมาเลี้ยงศีรษะมากขึ้น และต้องล้างหวี หรือแปรงให้สะอาดเสมอ การไม่สระผม หรือสระผมไม่สะอาด ทำให้เป็นชันนะตุ รังแค และเกิดอาการคัน เกิดโรคผิวหนัง และเชื้อราบนหนังศีรษะ ทำให้เกิดผมร่วง และเสียบุคลิกภาพ
การรักษาอนามัยของดวงตาดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญ เราควรหวงแหน และให้ความเอาใจใส่ ควรปฏิบัติดังนี้
อ่าน หรือเขียนหนังสือในระยะห่างประมาณ 1 ฟุต โดยมีแสงสว่างเพียงพอ แสงเข้าทางด้านซ้าย หรือตรงข้ามกับมือที่ถนัด หากรู้สึกเพลียสายตา ควรพักผ่อนสายตา โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆ ชั่วครู่ ดูโทรทัศน์ในระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตรครึ่ง บำรุงสายตาด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เช่น มะละกอสุก ฟักทอง และผักบุ้ง เป็นต้น ใส่แว่นกันแดด ถ้าจำเป็นต้องมองในที่ๆ มีแสงสว่างมากเกินไป ตรวจสายตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยแผ่นทดสอบสายตา (E-Chart) ถ้าสายตาผิดปกติ ให้พบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสอบ และประกอบแว่นสายตา
การรักษาอนามัยของหู หูเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่จะต้องเอาใจใส่ดูแลให้ถูกต้อง ดังนี้
เช็ด บริเวณใบหู และรูหู เท่าที่นิ้วจะเข้าไปได้ ห้ามใช้ของแข็งแคะเขี่ยใบหู รูหู คนที่มีประวัติว่า มีการอักเสบของหู ต้องระวังไม่ให้น้ำเข้าหูเด็ดขาด หากมีน้ำเข้าหู ให้เอียงหูข้างนั้นลง น้ำจะค่อยๆ ไหลออกมาได้เอง หรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดบริเวณช่องหูด้านนอก ถ้าเป็นหวัด ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะจะทำให้เชื้อโรคจากจมูก หรือคอ ถูกดันเข้าไปในหูชั้นกลาง ทำให้เกิดการติดเชื้อ และเกิดเป็นโรคหูน้ำหนวก เมื่อมีแมลงเข้าหู อย่าพยายามแคะ ให้ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช หยอดหูทิ้งไว้ชั่วขณะ แมลงจะเคลื่อนไหวไม่ได้ และตายในที่สุด ควรพบแพทย์เพื่อเอาแมลงออก หลีกเลี่ยงจากการถูกกระทบกระแทกหูโดยแรง หรือการตบหู เพราะจะทำให้แก้วหู และกระดูกภายในหูหลุด เกิดการสูญเสียการได้ยินตามมา รวมทั้งการหลีเลี่ยงเสียงอึกทึก และเสียงดังมากๆ อาจทำให้หูพิการได้ ต้องรู้จักสังเกตอาการผิดปกติของหู และการได้ยินอยู่เสมอ หากมีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกปวดหู เจ็บหู คันหู หูอื้อ มีน้ำหรือหนองไหลจากหู เวียนศีรษะ มีเสียงดังรบกวนในหู การได้ยินเสียงน้อยลง หรือได้ยินไม่ชัด ต้องรีบไปพบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก ทันที
การรักษาอนามัยของจมูก ข้อควรปฏิบัติดังนี้ ไม่ถอนขนจมูก เพราะจะทำให้จมูกอักเสบได้ ถ้าเป็นหวัดเรื้อรัง หรือมีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา ห้ามใส่เมล็ดผลไม้ หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นเข้าไปในรูจมูก การไอหรือจาม ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก จมูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในอาการ เป็นผลให้ผู้อื่นติดโรคได้ ต้องสั่งน้ำมูก ใส่ในผ้า หรือกระดาษเช็ดหน้าที่สะอาด
ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ มือและเท้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่สำคัญ ต้องมีการดูแลรักษา ไม่ปล่อยให้เล็บมือเล็บเท้ายาว การปล่อยให้เล็บยาว โดยไม่ดูแลความสะอาด จะทำให้เชื้อโรคที่สะสมอยู่ตามซอกเล็บ ติดไปกับอาหาร เป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทาปากโดยตรง ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ก่อน และหลังรับประทานอาหาร และหลังจากเข้าส้วมแล้ว ต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง และต้องสวมรองเท้าเมื่อออกจากบ้าน
ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวัน ควรฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน ในตอนเช้า อย่าให้ท้องผูกบ่อยๆ เพราะจะทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร และเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้ ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และให้ความอบอุ่นเพียงพอ การรักษาความสะอาดของเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องนอนเป็นิส่งสำคัญ เสื้อผ้าที่ใช้แล้วทิ้ง ชั้นนอกและชั้นใน ต้องมีการทำความสะอาดด้วยสบู่ หรือผงซักฟอกทุกครั้ง นำไปผึ่งหรือตากแดดให้แห้ง ประการสำคัญ การสวมเสื้อผ้า ต้อใช้ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ หรือซักไม่สะอาด อับชื้น เพราะจะทำให้เกิดโรคผิวหนังได้

2. รักษาฟันให้แข็งแรง และแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง
แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลีกเลี่ยงขนมหวาน เช่น ลูกอม แปรงฟัน หรือบ้วนปากหลังรับประทานอาหาร ไม่ใช้ฟันขบเคี้ยวของแข็ง

3. ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่าย
ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนและหลังการปรุงอาหาร รวมทั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่าย เป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ และติดเชื้อโรคได้ ควรล้างมือให้ถูกวิธี ดังนี้ ให้มือเปียกน้ำ ฟอกสบู่ ถูให้ทั่วฝ่ามือ ด้านหน้า และด้านหลังมือ ถูตามง่ามนิ้วมือ และซอกเล็บให้ทั่ว เพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออกไป พร้อมทั้งถูกข้อมือ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วเฃ็ดมือให้แห้งด้วยผ้าที่สะอาด 

4. รับประทานอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด
เลือกซื้ออาหารสด สะอาด ปลอดสารพิษ โดยคำนึงถึงหลัก 3 ป. คือ ประโยชน์ ปลอดภัย ประหยัด ปรุงอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และใช้เครื่องปรุงรสที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงหลัก 3 ส. คือ สงวนคุณค่า สุกเสมอ สะอาดปลอดภัย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รับประทานอาหารปรุงสักใหม่ และใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหารร่วมกัน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารรสจัด อาหารใส่สีฉูดฉาด ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว 

5. งดบุหรี่ สุรา สารเสพย์ติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ
ไม่เสพสารเสพย์ติดทุกชนิด เช่น บุหรี่ สุรา ยาบ้า กัญชา กาว ทินเนอร์ งดเล่นการพนันทุกชนิดไม่มั่วสุมทางเพศ 

6. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น
ทุกคนในครอบครัวช่วยกันทำงานบ้านมีการปรึกษาหารือ และแสดงความคิดเห็นร่วมกันการเผื่อแผ่น้ำใจซึ่งกันและกันการทำบุญ และได้ทำกิจกรรมสนุกสนานร่วมกัน 

7. ป้องกันอุบัติเหตุด้วยความไม่ประมาท
ดูแล ตรวจสอบ และระมัดระวังอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น ไฟฟ้า เตาแก๊ส ของมีคม ธูปเทียนที่จุดบูชาพระ และไม้ขีดไฟ ระมัดระวังเพื่อป้องกันอุบัติภัยในที่สาธารณะ เช่น การใช้ถนน โรงฝึกงาน สถานที่ก่อสร้าง และชุมชนแออัด เป็นต้น 

8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี
การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เจริญเติบโตสมวัย กระตุ้นให้กระดูกยาวขึ้น และเข็งแรงขึ้น ทำให้สูงสง่า บุคลิกดี และยังช่วยผ่อนคลายความเครียด จากการทำงาน ตลอดจนเพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย โดยออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 20-30 นาทีออกกำลังกาย และเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และวัยตรวจสอบสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง 

9. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ
พักผ่อน และนอนหลับให้เพียงพอจัดสิ่งแวดล้อมทั้งในบ้าน และนอกบ้านให้น่าอยู่ มองโลกในแง่ดี ให้อภัย และยอมรับข้อบกพร่องของคนอื่น เมื่อมีปัญหาไม่สบายใจ ควรหาทางผ่อนคลาย ในทางที่ถูกต้องเหมาะสม 

10. มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม
ใช้ทรัพยากร เช่น น้ำ ไฟ อย่างประหยัด หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุ อุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ถุงพลาสติก โฟมตลอดจนการร่วมมือกัน รักษาความสะอาด และเป็นระเบียบของสถานที่ทำงาน และที่พัก เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ระวังโรคมือเท้าปากกันด้วยนะคะ
ถ้าเด็กๆมีอาการผิดปกติ...ต้องรีบไปพบแพทย์ด่วนด้วยนะคะ

อาการของ โรคมือ เท้า ปาก

       โดยทั่วไป โรคมือ เท้า ปาก มักจะมีอาการไม่รุนแรง โดยจะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-6 วัน และมีอาการเริ่มต้นคือ เป็นไข้ต่ำ ๆ มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ประมาณ 1-2 วัน จากนั้นจะเริ่มเจ็บปาก ไม่ยอมทานอาหาร เพราะมีตุ่มแดงที่เหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้ม โดยตุ่มนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใส รอบแผลจะอักเสบแดง ต่อมาตุ่มจะแตกออกเป็นแผลหลุมตื้น จากนั้นจะพบตุ่มหรือผื่น (มักไม่คัน) ที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้น แขน ขา และอวัยวะสืบพันธุ์ด้วย ในเด็กทารกอาจพบกระจายทั่วตัวได้ ทั้งนี้อาการจะทุเลาและหายเป็นปกติภายใน  7-10 วัน โดยทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็น

          อย่างไรก็ตาม โรคมือ เท้า ปาก อาจแสดงอาการในหลายระบบ เช่น

          1.ระบบทางเดินหายใจ อาจมีอาการเหมือนไข้หวัด ไอ มีน้ำมูกใส เจ็บคอ

          2.ทางผิวหนัง

          3.ทางระบบประสาท เช่น สมอง เยื่อหุ้มสมอง หรือเนื้อสมองอักเสบ

          4.ทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำเล็กน้อย ปวดหัว อาเจียน

          5.ทางตา มักพบเยื่อบุตาอักเสบ (chemosis and conjuntivitis) และ

          6.ทางหัวใจ เช่น สามารถทำให้เกิดกล้ามเนื้อหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้ ซึ่งอาจมีตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนถึงอาการ หรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง


          ทั้งนี้ หากผู้ป่วยเกิดผื่น ตุ่ม ที่มือ เท้า และปากนานเกิน 3 วัน แล้วยังมีอาการซึมตามมาด้วย ให้รีบพบแพทย์ทันที เพราะอาการซึมเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เชื้อกำลังเข้าสู่สมองแล้ว และหากปล่อยไว้ไม่ยอมมารักษา เชื้อจะเข้าไปในสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ จนทำให้หัวใจล้มเหลว และเกิดน้ำท่วมปอดจนเสียชีวิตได้


การรักษา โรคมือ เท้า ปาก

          ปกติแล้วโรคมือ เท้า ปาก สามารถหายได้เองภายใน 7-10 วัน หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน โรคนี้ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ เพราะเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส จึงต้องใช้ภูมิคุ้มกันของตัวเองต่อสู้กับเชื้อโรค ทั้งนี้ แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ทั้งนี้ ควรเช็ดตัวผู้ป่วยเป็นระยะ ๆ ให้อาหารอ่อน ๆ ดื่มน้ำและผลไม้ และนอนพักผ่อนให้มาก ๆ ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจต้องป้อนนมแทนการให้ดูดจากขวดนม

          หลังจากการติดเชื้อผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่ก่อโรค แต่อาจเกิดโรคมือ เท้า ปาก ซ้ำได้ จาก เอนเทอโรไวรัสตัวอื่น ๆ ดังนั้น หากผู้ปกครองสังเกตเห็นลูกมีอาการที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ไข้สูง ซึม อาเจียนบ่อย ๆ หอบ แขนขาอ่อนแรง ไม่ยอมรับประทานอาหารและนํ้า ก็ควรพาบุตรหลานมาพบแพทย์ 


การป้องกัน โรคมือ เท้า ปาก

          ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก แต่โดยปกติป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ได้ โดยการรักษาสุขอนามัยที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสะอาด ตัดเล็บให้สั้น หมั่นล้างมือด้วยน้ำสบู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังการขับถ่ายและก่อนรับประทานอาหาร รวมทั้งใช้ช้อนกลาง และไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน

          ที่สำคัญ คือ ต้องแยกผู้ป่วยที่เป็นโรคออกจากกลุ่มเพื่อนในโรงเรียน สถานเลี้ยงเด็ก โดยไม่ให้เด็กทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น ๆ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ และต้องคอยทำความสะอาดพื้น ห้องน้ำ สุขา เครื่องใช้ ของเล่น สนามเด็กเล่น ตลอดจนเสื้อผ้า ที่อาจปนเปื้อนเชื้อด้วยนํ้ายาฆ่าเชื้อที่ใช้ทั่วไปภายในบ้าน

          หากมีเด็กป่วยจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องปิดสถานที่ชั่วคราว (1-2 สัปดาห์) และทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค  โดยอาจใช้สารละลายเจือจางของน้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนผสมกับน้ำ 30 ส่วน 
ช่วยกันดูแลด้วยนะคะ

โรคมือเท้า..ปาก

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข้อแนะนำในการตรวจสุขภาพ
ก่อนตรวจสุขภาพ
  • ไม่ควรอดนอน ดื่มสุราหรือกาแฟในคืนก่อนการตรวจสุขภาพ เนื่องจากจะทำให้ความดันโลหิตสูงกว่าที่เป็นจริง
  • ควรสวมใส่เสื้อที่สามารถพับแขนขึ้นได้สะดวก ไม่รัดแน่น เพื่อความสะดวกในการเจาะเลือด
  • ถ้าต้องการตรวจภายใน (เฉพาะสุภาพสตรี) ควรสวมใส่กระโปรง และควรตรวจก่อนหรือหลังการมีประจำเดือน 7 วัน
  • ควรนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนตรวจวัดความดันโลหิต
การอดอาหารก่อนตรวจสุขภาพ
  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนการเจาะเลือด 8 ชม. และตรวจไขมันในเลือด (Cholesterol,Triglyceride, HDL, LDL)
  • ควรงดน้ำหรืออาหาร 12 ชม. หากกระหายน้ำมากให้จิบน้ำเปล่าได้เพียงเล็กน้อย
  • หลังจากการเจาะเลือดแล้วสามารถรับประทานน้ำและอาหารได้ทันที จากนั้นเข้ารับการตรวจรายการต่อไปได้
  • ควรตรวจสุขภาพในช่วงเช้า เพื่อไม่ให้ร่างกายอิดโรยเกินไป
เมื่อเจาะเลือดเสร็จแล้ว
  • ควรพับแขนเสื้อข้างที่เจาะเลือดบริเวณข้อพับไว้อยางน้อย 5-10 นาที ไม่คลึงหรือนวดบริเวณที่เจาะเลือดเพราะอาจจะทำให้เส้นเลือดแตกได้
  • ในกรณีที่มีรอยช้ำเขียวบริเวณที่เจาะเลือดแสดงว่าเส้นเลือดอาจจะแตก รอยช้ำดังกล่าวจะหายเองภายใน 1-2 สัปดาห์อาจทายาแก้ฟกช้ำ เช่น ฮีรูดอยด์ช่วยได้ แต่ไม่ควรคลึงบริเวณที่เส้นเลือดแตก
การเก็บปัสสาวะ
  • ให้ถ่ายปัสสาวะช่วงแรกทิ้งไปก่อน แล้วค่อยเก็บตัวอย่างปัสสาวะช่วงกลาง และทิ้งปัสสาวะช่วงสุดท้ายไป
  • สุภาพสตรีที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือนไม่ควรตรวจ หรือถ้าต้องการตรวจต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ
เอกเซเรย์ปอด
  • ในวันตรวจงดใส่เครื่องประดับต่างๆ ที่เป็นโลหะ
  • สุภาพสตรีงดใส่ชุดชั้นในที่เป็นโครงเหล็ก
  • ไม่ควรเอกซเรย์ หากไม่แน่ใจว่าตั้งครรภ์หรือไม่ หากสงสัยว่าจะมีการตั้งครรภ์ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อการเอกเรซ์
อาหารชีวจิต...เพื่อผิวใสไร้สิว
อาหารชีวจิตมีประโยชน์ต่อสุขภาพ หากคนเราหันมาทานอาหารชีวจิตบ้าง ก็สามารถทำให้         สุขภาพร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณก็ผ่องใสด้วย...

1. ปรับอาหารการกินด้วยสูตรชีวจิต ให้ถูกต้อง
ไม่ควร รับประทานแป้งข้าวและของหวานที่ทำจากน้ำตาลทรายขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อกโกแลต รวมทั้งอาหารประเภทมันๆ และของ ทอดทั้งหลาย
 • ควร หันมารับประทานผักและผลไม้ให้มาก เพราะมีวิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน แร่ธาตุโครเมียม และคลอโรฟิลล์ เพื่อช่วยปรับ สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท อาหารทะเล เป็น ต้น เพื่อช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อของสิว นอกจากนี้ยังทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่แทนเซลล์ผิวหนังที่เสีย ไป


 2. ใช้ดีท็อกซ์ช่วยกำจัดท็อกซิน เพราะการเป็นสิว ย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีเจ้าท็อกซินหรือพิษเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำดีท็อกซ์ ตามหลักชีวจิต เพื่อช่วยขจัดพิษในร่างกาย หลังจากทำดีท็อกซ์เสร็จ ก็เข้าห้องอบไอน้ำหรือ ซาวน่า เพื่อขับพิษออกทางผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง ค่ะ
 3. ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่มีน้ำตาล เช่น ลูกใต้ใบ มะตูม หรืออื่นๆ ตามตำราชีวจิต เพราะน้ำจะเป็นตัวพาของเสียสิ่งสกปรกออกไป และจะได้ ประโยชน์จากสมุนไพรแต่ละชนิดอีกด้วย
 4. ออกกำลังกายจนเหงื่อออก ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี และทำให้ต่อมไขมันเปิดและพาหัวสิวให้ละลายง่าย ไม่เกิดสิว แต่ที่สำคัญ อย่าลืม ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย
 5. ทำจิตใจให้สงบ มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส ความผ่อนคลายนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งทให้    เม็ดเลือดขาวใน ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เรื่องราวของคนรักแมว

เป็นที่สันนิษฐานกันว่า ระหว่างการเดินทางของพ่อค้าทะเลทรายแถบเปอร์เซียและอิหร่านไปทางตะวันตกนั้น นอกจากจะมีการบรรทุกสินค้าพวกเครื่องเทศและอัญมณีหายากไว้บนหลังอูฐแล้ว บางครั้งยังมีการขนสิ่งล้ำค่ายิ่งกว่านั้นนั่นก็คือ แมวขนยาว ที่เราเรียกกันว่า แมวเปอร์เซียตามแหล่งกำเนิดของมัน แต่เอกสารฮีโรกลิฟฟิคในปี 1684 ก่อนคริสตกาลนั้นได้ปกปิดความหมายที่แท้จริงของมันไว้
แมวเปอร์เซียซึ่งมีขนยาวปกคลุมตัวและมีหน้าคล้ายดอกแพนซีเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้ เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีแล้ว ความเชื่อง ความอ่อนน้อม และลักษณะนิสัยของมันจะทำให้มันปรับตัวเข้ากับทุกคนเป็นอย่างดี โดยธรรมชาติแล้วมันชอบบรรยากาศที่เงียบสงบและปลอดภัย แต่มันก็สามารถอยู่ในสภาพที่วุ่นวายได้หากได้รับความรักและการดูแลอย่างดี มันมีเสียงที่เงียบเบาและไพเราะไม่เป็นที่น่ารำคาญ มันมักจะใช้สายตาดวงโตของมันในการสื่อความรู้สึกและยังทำให้มันเป็นสัตว์ที่มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก แมวเปอร์เซียนั้นมีขาที่สั้นซึ่งเหมาะกับลำตัวกว้างสั้นของมัน  มันชอบที่จะยืนทิ้งน้ำหนักลงบนขาของมันซึ่งไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการกระโดดสูงหรือปีนป่ายแต่อย่างใด 
      เรามีชีวิตอยู่ได้ แม้อดอาหารเป็นเดือนๆ แต่ไม่อาจอยู่รอดได้ หากขาดน้ำเกิน 3-7 วัน...ทั้งนี้ เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญภายในร่างกายถึง ร้อยละ 75 ของน้ำหนักตัว
เมื่อใดที่ร่างกายขาดน้ำจะมีสัญญาณสุขภาพบางอย่างเป็นข้อบ่งชี้ อาทิ ผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ตาแห้ง มีกลิ่นปาก ท้องผูก เป็นริดสีดวงทวาร เป็นต้น
"น้ำ" จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสมดุลในร่างกาย และที่สำคัญคือ น้ำยังสามารถช่วยรักษาโรคบางชนิดได้อย่างน่าอัศจรรย์
วิถีสุขฉบับนี้ขอนำเสนอเคล็ดวิธีในการดื่มน้ำอย่างถูกวิธีและถูกเวลา เพื่อช่วยยืดอายุการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้นานขึ้น
ดื่มน้ำถูกวิธีคือ ดื่มแบบกลับคืนสู่ธรรมชาติ
วิธีการง่ายๆ ในการดื่มน้ำให้ถูกวิธีคือ ถ้าดื่มในช่วงพระอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้าต้องดื่มน้ำอุ่น แต่ถ้าพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าแล้ว ให้ดื่มน้ำเย็น
เนื่องจากน้ำสามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ ทำให้โอกาสในการเป็นโรคภูมิแพ้ต่ำ สามารถล้างคราบไขมันตามลำคอ และล้างลำไส้ที่มีความยาวถึง 12 เมตรได้ และที่
สำคัญ ยังส่งผลดีต่อระบบการขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ
14 แก้ว เพื่อสุขภาพดี
มีข้อแนะนำถึงปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันเพื่อบำบัดรักษาโรคและเป็นการรักษาสุขภาพ โดยแบ่งน้ำสำหรับดื่มในแต่ละช่วงเวลา ดังนี้
1. เวลาตื่นนอนให้ดื่มน้ำอุ่น 4 แก้ว
2. ก่อนอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว
3. หลังอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว
4. ในเวลา 10.00, 14.00, 16.00 น. ครั้งละ 1 แก้ว
5. ก่อนนอนดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว
เพียงการดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอในแต่ละวัน ก็สามารถช่วยดูแลและลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ไม่ยาก...วันนี้คุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง?

เคล็ดลับง่ายๆที่ควรรู้

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวังผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้
 2. ผลไม้กับมื้ออาหารก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย
 3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
 5. นาฬิกาชีวภาพหลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ
...



วันนี้เอาแค่ 5 วิธีไปก่อนน่ะค่ะ
ไว้ว่างๆจะอัพเด๖ใหม่
อยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพตัวเองด้วยน่ะค่ะ

วันที่ 11 กรกรฏาคม 2555

.........สมองไว ใครๆก็ทำได้.........
ว่ากันว่า คนเราอยากเก่งต้องหมั่นทบทวนซ้ำๆหลายๆครั้ง วันนีี้้จะมีเกล็ดเล็กๆมาฝากค่ะ
เป็นการกระตุ้นสมองให้ทำงานอย่างว่องไวด้วยรูปแบบการเคลื่อนไหวร่างกาย 6 จังหวะ(SIX Rhythm) ได้แก่ จังหวะบีกิน วอลซ์ ซาซ่า ช่า ช่า ช่า แซมบ้า รุมบ้า
รายละเอียดเดี๋ยวนำมาฝากครั้งถัดไปนะคะ

วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอนะคะ.........จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง
ขอโทษด้วยนะคะ.....วันนี้โพสต์ดึกไปหน่อย
วันนี้ดิฉันขอแนะนำ5เมนูอาหารที่รับประทานแล้วประโยชน์ครบถ้วนค่ะ..ที่สำคัญหาทานง่าย.........อร่อยดี..........แถมยังได้ประโยชน์อีกต่างหากค่า...มันคือ
 ก๋วยเตี๋ยวได้คอลลาเจนจากน้ำต้มกระดูกที่ใช้เวลาเคี่ยวนาน ผักบุ้ง ถั่วงอก และผักชี ต้นหอม มีไฟเบอร์และอัลลิซิน ช่วยลดไขมันในเลือดได้

ข้าวเหนียวหมูปิ้งควรเลือกหมูปิ้งมันน้อย ส่วนข้าวเหนียวจะเป็นข้าวเหนียวดำหรือข้าวเหนียวขาวก็ได้ เพราะในข้าวเหนียวดำมีโอพีซี (OPCs) เป็นซุปเปอร์วิตามินอยู่

 น้ำพริกปลาทูปลาทูทอดจะช่วยจับกับวิตามินเอจากพริกและกรดไขมันโอเมก้าสามที่มีในกะปิ อีกทั้งในปลาทูยังมีซูเปอร์วิตามินชื่อแอสตาแซนทินด้วย

ผัดไทยมีวิตามินอีมากในน้ำมันที่ใช้ผัดและถั่วลิสงคั่ว วิตามินเอมีมากใบผักใบเขียว ขณะที่หัวปลีกับถั่วงอกที่ให้วิตามินบีกับกาบา ช่วยบำรุงสมอง

ก๋วยจั๊บในน้ำพะโล้มีสมุนไพรอย่างโป๊ยกั๊ก มีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อ ป้องกันโรค นอกจากนั้นในเต้าหู้ทอดยังให้แคลเซียมและเพ็พไทด์ที่เป็นโปรตีนย่อยง่าย อีกทั้งได้พลังงานจากเส้นก๋วยจั๊บ