วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ลดความอ้วนด้วยสาระพัดผักพื้นบ้าน

ผักพื้นบ้านและสมุนไพรที่มีอยู่ตามท้องถิ่นต่างๆ ทั่วไทยนั้น นอกจากจะเป็นเครื่องปรุงหาง่ายในการประกอบอาหารแล้ว ยังเป็นสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพช่วยในการรักษารูปร่าง รวมไปถึงผลด้านความงามอย่างการลดความอ้วนด้วย วันนี้เราจะมาแนะนำผักพื้นบ้านและสมุนไพรใกล้ตัวที่มีสรรพคุณช่วยลดน้ำหนัก เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรลดความอ้วนที่ไม่ต้องเสียเงินแพงกันค่ะ



ผลส้มแขกลดความอ้วน
ผลส้มแขก หรือ Garcinia Combogia เป็นสมุนไพรที่พบมากทางภาคใต้ มีรูปร่างคล้ายผลฟักทองขนาดเล็ก มีการวิจัยพบว่าในส้มแขกนั้นมีสาร HCA ซึ่งช่วยยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกิน เปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นพลังงาน จึงถือได้ว่าส้มแขกเป็นสมุนไพรลดความอ้วนที่ดีมาก เมนูที่นิยมรับประทานได้แก่ ยำส้มแขก ส้มแขกแช่อิ่ม ส้มแขก 3 รส
 

หัวบุกลดความอ้วน
หัวบุก เป็นพืชล้มลุกคล้ายพืชตระกูลมัน มีสารกลูโคแมนแนนที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็ว เพราะพองตัวได้นานถึงครึ่งชั่วโมง และช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาลในร่างกาย แม้จะไม่มีสรรพคุณที่ช่วยลดความอ้วนโดยตรงแต่ถือเป็นพืชที่ช่วยให้อิ่มแต่ไม่ให้พลังงาน จึงนิยมรับประทานแทนข้าว บุกมักจะถูกแปรรูปเป็นเส้นใยขุ่นคล้ายวุ้นเส้น หรือก้อนลูกเต๋าเล็ก ๆ นำมาผสมกับเครื่องดื่ม หรือนำมาผสมกับสลัด ยำ หรือส้มตำ

แมงลักลดความอ้วน
แมงลัก เป็นพืชล้มลุกให้ไฟเบอร์สูง มีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้ 25 เท่า ทำให้พองตัว เป็นสมุนไพรลดน้ำหนักเนื่องจากเมื่อกินเข้าไปจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอยู่ท้องนาน ช่วยป้องกันการดูดซึมไขมันสู่กระแสเลือด ช่วยลดระดับไขมันและน้ำตาล ขับถ่ายได้ง่ายมากขึ้น บรรเทาอาการท้องผูก ช่วยลดการดูดซึมอาหารเข้าสู่ร่างกาย นิยมผสมน้ำหวานหรือน้ำเต้าหู้ดื่มก่อนนอนเพื่อช่วยในการขับถ่ายล้างลำไส้

ดอกคำฝอยลดความอ้วน
ดอกคำฝอย พบมากทางภาคเหนือ มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด ขับเหงื่อและเป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย ปัจจุบันดอกคำฝอยมักจะนำมาทำเป็นชา และนำมาใช้ในการลดความอ้วนด้วยการชงดื่ม

พริกขี้หนู พริกไทยลดความอ้วน

พริก พริกขี้หนู พริกไทย เป็นสมุนไพรที่หาได้ทั่วไปในประเทศ มีสารแคปไซซิน ที่ช่วยร่างการเผาผลาญไขมันและอาหารเพิ่มขึ้น เมื่อสารอาหารถูกเผาผลาญได้เร็วขึ้นน้ำหนักก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ข้อพึงระวังก็คือการรับประทานพริกที่มากเกินไปอาจจะทำไห้ท้องเสียได้ และการกินเผ็ดจัด ๆ ทำให้เกิดผลเสียต่อกระเพาะ


มากินอาหารทะเลเพื่อสุขภาพกันเถอะ!

ซีฟู้ดหรืออาหารทะเลของโปรดของคนจำนวนไม่น้อย นอกจากรสชาติอันโอชา เมื่อนำมาปรุงด้วยกรรมวิธีที่หลากหลายทั้ง ต้ม นึ่ง ทอด ปิ้ง เผา หรือจะนำมายำ ภายใต้รสชาติอันโอชานั้นยังมีคุณค่าทางอาหารต่างๆ มากมายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพซ่อนอยู่ อาหารทะเลชนิดต่างๆ จะมีคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราอย่างไรบ้างตามมาดูกันเลย

อาหารทะเลเพื่อสุขภาพ

ปลา ดาวเด่นแห่งท้องทะเลชนิดนี้เป็นอาหารทะเลที่นับว่าหารับประทานได้ง่ายและมีให้เลือกหลากหลายชนิด ปลาเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นที่ร่างกายต้องการ อย่างโอเมก้า -3 ในปริมาณมากอีกด้วย นอกจากนี้เนื้อปลายังมีไขมันต่ำ ย่อยง่าย ถือเป็นอาหารลดความอ้วนสำหรับสาวๆ ได้อย่างดีเลยล่ะ

กุ้ง เห็นตัวจิ๋วๆ แค่นี้แต่อุดมไปด้วยโปรตีน แร่ธาตุและคาร์โบไฮเดรต ยิ่งถ้าเป็นกุ้งฝอยหรือกุ้งแห้งที่รับประทานได้หมดทั้งเปลือก จะยิ่งช่วยเพิ่มแคลเซียมที่มีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง เหมาะกับคุณแม่ หรือผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนที่เสี่ยงต่อโรคกระดูกเปราะและกระดูกพรุ่นอย่างมาก

ปลาหมึก เจ้าสัตว์ทะเลตัวขาวอวบนี้มีโปรตีนและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพไม่น้อยไปกว่าซีฟู้ดชนิดไหนๆ  แต่ทั้งนี้เนื้อขาวๆ รสชาติอร่อยของเจ้าปลาหมึกนี้มีคาร์โบไฮเดรตและคอเลสเตอรอลอยู่มาก ก็ควรจะกินในปริมาณที่เหมาะสม แค่อาทิตย์ละ1 -2 ครั้งก็พอแล้วล่ะ
ปูและหอย ในเนื้อปูและเนื้อหอย มีทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัสและธาตุเหล็กซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น แต่ก็ยังมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่สูง(ร้อยละ 2 ของน้ำหนัก) ดังนั้นก็ควรจะกินในปริมาณที่เหมาะสมด้วยค่ะ
นอกจากนี้ในอาหารทะเลยังมีแร่ธาตุอีกหนึ่งชนิดที่แม้ร่างกายจะต้องการในปริมาณที่ไม่มาก แต่ก็ขาดไม่ได้ นั้นก็คือไอโอดีน หากขาดจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา คือโรคคอพอก ทำให้สมองทำงานไม่ปกติและมีพัฒนาการ การเรียนรู้ช้า  เห็นไหมค่ะว่าซีฟู้ดหรืออาหารทะเลนี้ทั้งอร่อยและก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากๆเลยทีเดียว  อาหารมื้อหน้าอย่าลืมเลือกเมนูอาหารทะเลเพื่อสุขภาพกันด้วยนะคะ
ซีฟู้ด, อาหารทะเล, อาหารทะเลเพื่อสุขภาพ

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

กุหลาบมีดีกว่าที่คิดค่าาาาาา



ราชินีแห่งดอกไม้ อย่าง กุหลาบนั้น นอกจากจะเป็นดอกไม้สุดสวย กุหลาบ นอกจากสวย และกลิ่นดีดีแล้ว ยังมีประโยชนืต่อร่างกายและสุขภาพของเราอีกด้วยนะเออ วันนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับ ดอกกุหลาบมอญ และประโยชน์ของเขาดีกว่า
ดอกกุหลาบมอญ เป็นดอกไม้ที่ทรงโปรดของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ท่านทรงนำกลับมาหลังจากเสร็จสงครามที่เมืองมอญ กุหลาบมอญนี้เข้าใจว่าเป็นของทวีปเอเชียภาคตะวันออก มีปลูกในอินเดียมานานมากก่อนที่จะมีปลูกในเมืองไทย

ดอกกุหลาบมอญ  สามารถทำชากุหลาบ ไว้ดื่มเองที่บ้าน ได้ นำมาเด็ดเป็นกลีบๆ ทำความสะอาดด้วยการล้างน้ำสักรอบ แล้วนำไปตากแดด แล้วใส่ขวดโหลให้มิดชิด
วิธีการชงชา ต้มน้ำให้เดือดๆ ปล่อยให้อุ่น แล้วนำกลีบกุหลาบที่เราตากแห้งเป็นชาลงไป จะหอมสดชื่นแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำให้นอนหลับง่าย ผิวพรรณสดใส ช่วยปรับฮอร์โมนให้สมดุล เรื่องประจำเดือน แถมยังช่วยกระตุ้นระบบประสาท และสมองเราให้แจ่มใส ด้วยค่ะ


ต้นข่อย..ไม้ประดับยอดสมุนไพร


ต้นข่อย (Siamese Rough Bush) เป็นไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ สูง 5-15เมตร แตกกิ่งก้านสาขา ขึ้นเป็นพุ่มทรงกลม เปลือกมีสีเทาอ่อน ข้างในลำต้นและกิ่งจะมีน้ำยางสีขาวข้น ใบมีขนาดเล็ก ขอบใบเรียบโคนใบมนแหลม ปลายใบแหลม คล้ายรูปไข่ กว้างประมาณ 3.5ซม. ยาว 4-7ซม. เนื้อใบหนาและสากคล้ายกระดาษทราย ทั้ง 2ด้าน ดอกออกเป็นช่อ สีเหลืองอ่อน ออกตามปลายกิ่ง รวมกันเป็นกระจุก ผลทรงกลมเล็ก ๆ เมื่อสุกมีสีเหลืองสด รสหวาน
นอกจากจะเป็นไม้ประดับตกแต่งแล้ว ยังสามารถใช้ส่วนต่าง ๆ ของต้นข่อย มาเป็นสมุนไพรได้ด้วย เช่น คนโบราณนำกิ่งข่อยมาใช้ในการแปรงฟันแทนแปรงสีฟัน แต่ต้องทุบให้นิ่มก่อน  
ใบ – เมื่อนำไปปิ้งให้กรอบ ใช้ชงกับน้ำ รับประทานเป็นยาระบายอ่อน ๆ หรือนำไปคั่ว แล้วชงกับน้ำแก้ปวดประจำเดือนได้
เปลือก – สามารถนำมารักษาแผล แก้ท้องร่วง แก้โรคผิวหนัง
ราก – ก็นำมาใช้รักษาแผลได้เช่นกัน
เมล็ด – ทำให้เจริญอาหาร เป็นต้น
ต้นข่อยมีชื่อเรียกพื้นเมืองแตกต่างกันออกไป เช่น ภาคเหนือเรียกกักไม้ฝอย จ.ร้อยเอ็ดเรียกส้มพอ เขมรเรียกสะนาย เป็นต้น คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นข่อยไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความมั่นคง ช่วยป้องกันศัตรูจากภายนอกได้ เพื่อความเป็นสิริมงคล ผู้อาศัยควรปลูกต้นข่อยไว้ทางทิศตะวันออก และปลูกในวันเสาร์ ถ้าปลูกในแปลงใช้หลุมขนาดประมาณ 50x50x50ซม. ส่วนการปลูกใส่กระถางใช้กระถางทรงสูงขนาด 12-24นิ้ว และควรเปลี่ยนกระถาง 2-3ปีต่อครั้ง ต้นไม้ชนิดนี้ชอบแสงแดดจัดและดินร่วนซุย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค นิยมขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเมล็ด และปักชำ

น้ำทับทิม...เพื่อสุขภาพ


ทับทิม เป็นผลไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมมาก สามารถปลูกได้ในประเทศไทย แต่ที่แท้จริงเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน) และมีแถบอินเดียตอนเหนือบริเวณเทือกเขาหิมาลัย
ในเมืองไทย ทับทิมดูจะเป็นผลไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่นิยมนำไปถวายแด่พระแม่กวนอิม ในประวัติศาสตร์ พบว่าได้มีการนำทับทิมมาทำเป็นยารักษาโรคตั้งแต่ 80 ปีมาแล้ว ในประเทศเปอร์เซียโบราณมีความเชื่อว่า คุณค่า ทางอาหารทุกชนิดที่มีอยู่ในผลไม้ต่างๆ นั้น รวมกันอยู่ในทับทิม ทับทิมเป็นผลไม้ที่ได้รับการเพาะปลูกอย่างแพร่หลาย โดยมีการใช้ทับทิมเป็นสัญลักษณ์ของผลไม้ ถือว่าเป็นผลไม้จากสวรรค์หรือเป็นของขวัญจากพระเจ้า
ส่วนผสม
  • เนื้อลูกทับทิม 1 ถ้วยตวง
  • น้ำต้มสุก 1 ถ้วยตวง
  • น้ำเชื่อม ตามชอบ
  • เกลือ ตามชอบ
  • วิธีทำ
  • นำทับทิมแกะเอาแต่เนื้อ 1 ถ้วย ใส่ในผ้าขาวบางขยำเติมน้ำต้มสุข 1 ถ้วย ขยำซ้ำอีก กะว่าให้ได้เนื้อออกมาจากเมล็ดมากที่สุด จากนั้นนำมาเติมน้ำเชื่อมและเกลือป่น คนให้ละลาย ชิมตามชอบ

  • ประโยชน์และคุณค่าทางสมุนไพร
    ทับทิมในตำราแพทย์สมัยโบราณ ในผลทับทิมมีวิตามินมากมายหลายชนิด รวมทั้งแมกนีเซียมและแคลเซี่ยม ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบฟอกโลหิต และ ระบบการหมุนเวียนในร่างกาย ในตำราแพทย์โบราณของเปอร์เซีย (ซึ่งถือว่าเป็นต้นตำรับของวิชาแพทย์ตะวันตกในปัจจุบัน) ระบุว่าทับทิมมี ประโยชน์ดังต่อไปนี้
    • การฟื้นฟูสู่สภาพเดิมของหัวใจและตับ
    • การฟอกไตและท่อปัสสาวะ
    • สมรรถนะในการส่งเสริมการย่อย
    • ขจัดไขมันส่วนเกิน
    • เป็นยาบำรุงกำลัง
    • ช่วยป้องกันการแพ้ท้อง
    • ช่วยปรับฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือน
    • ปรับปรุงระบบการฟอกและหมุนเวียนโลหิต
    • การฟื้นฟูจากโรคเบาหวาน
    • สมรรถนะในการกลั้นเสมหะ
    • ต่อต้านการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศและเพิ่มพลัง
    • ป้องกันโรคขี้หลงขี้ลืมในผู้สูงอายุ
    • ทำให้ผิวหน้าสวย

อาหารกับสุขภาพช่องปาก

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

โรคอัมพาต..ครึ่งซีก..น่ากลัวนะ


กลุ่มเสี่ยง

สำหรับคนทั่วไปจะมีความเสี่ยงสูงตามอายุที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติก็มีความเสี่ยงสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานมักมีปัญหาด้านการอุดตันของหลอดเลือดขนาดเล็กที่เส้นประสาท ทำให้เส้นประสาทตายจากการขาดเลือด และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อใหม่หรือการกำเริบของไวรัสในร่างกาย
สาเหตุ

ผู้ป่วยโรคใบหน้าอัมพาตครึ่งซีกเกือบทั้งหมดไม่ได้มีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก และสาเหตุในผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อเริม (Herpes simplex virus type1) หรือไวรัสอื่นๆ ที่เส้นประสาทสมองที่ 7 เช่น ไวรัสโรคสุกใส ไวรัสเอปสไตน์บาร์ หรือเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคไลม์ ซึ่งการติดเชื้อข้างต้นนี้อาจเป็นการติดเชื้อใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือเป็นการกำเริบจากการติดเชื้อที่แฝงอยู่เดิมในร่างกายก็ได้ เมื่อร่างกายอ่อนแรงลง ไม่ว่าจะมาจากปัจจัยความเครียดทางจิตใจ หรือจากสิ่งแวดล้อมภายนอก หรือโรคทางกายอื่นๆ ก็จะทำให้เกิดโรคขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมักไม่ทราบสาเหตุที่จำเพาะของโรคนี้

นอกจากนั้นแล้ว ความผิดปกติของเส้นประสาทสมองที่ 7 ที่ทำให้เกิดอาการไม่ต่างจาก Bell’s palsy ยังเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้เช่นกัน เช่น อุบัติเหตุต่อเส้นประสาทโดยตรง การติดเชื้อบริเวณข้างเคียง หูชั้นในอักเสบติดเชื้อ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ 

อาการ

     • อาการเด่นที่มักนำผู้ป่วยมาพบแพทย์คือ ผู้ป่วยมักมีอาการอ่อนแรง หรือที่เรียกว่าอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีก โดยเกิดอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือข้ามคืน
     • ผู้ป่วยมักปิดตาไม่สนิท ทำให้เกิดการระคายเคืองตาได้ง่าย มีน้ำตาไหลมากขึ้น
     • เนื่องจากเส้นประสาทสมองที่ 7 นี้มีแขนงเล็กๆ ไปที่กล้ามเนื้อของหูชั้นกลาง บางรายจึงอาจมีอาการปวดบริเวณหลังหูร่วมด้วย เช่น รู้สึกว่ามีเสียงดังหรือก้องขึ้นในหูด้านเดียวกัน
     • บางรายอาจมีการรับรสที่ผิดปกติร่วมด้วย แต่เป็นส่วนน้อย


การวินิจฉัย

แพทย์จะซักประวัติถึงอาการและระยะเวลาที่เกิดขึ้น อาการร่วมอื่น สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ และตรวจร่างกาย เพื่อยืนยันถึงรอยโรคที่เส้นประสาทสมองนี้ และแยกโรคอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันออกไป

โดยรูปแบบของอาการใบหน้าอ่อนแรงในโรคนี้จะมีลักษณะพิเศษ ซึ่งแตกต่างจากความผิดปกติของใบหน้าอ่อนแรงที่เกิดจากเหตุโรคในสมองคือ กลุ่มกล้ามเนื้อใบหน้าทั้งครึ่งซีกที่รวมถึงกล้ามเนื้อบริเวณหน้าผาก (ที่ใช้ยักคิ้ว/ย่นหน้าผาก) และกลุ่มกล้ามเนื้อส่วนล่างของใบหน้า (ที่ใช้แสยะยิ้ม แยกเขี้ยว เม้มปาก) จะมีความผิดปกติทั้งคู่ ผู้ป่วยจึงดูมีลักษณะว่าใบหน้าด้านนั้นดูห้อยลง ปิดตาไม่สนิท ย่นหน้าผากไม่ได้ ดื่มน้ำแล้วน้ำซึมจากมุมปาก หรือเมื่อให้ผู้ป่วยยิงฟัน หน้าจะถูกดึงไปด้านตรงข้าม ทำให้ดูเหมือนว่าหน้าเบี้ยวด้านตรงข้าม 

โดยทั่วไป แพทย์จึงมักให้การวินิจฉัยโรคนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องทำการตรวจเพิ่มเติมพิเศษ ส่วนในรายที่สงสัยว่ามีปัจจัยเสี่ยงสูงข้างต้น เช่น เป็นโรคเบาหวาน และเป็นผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ก็ควรตรวจหาโรคเบาหวาน โรคทางภูมิคุ้มกันผิดปกติ ตรวจเอกซเรย์ หรือภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง ฯลฯ
การรักษา

ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่แน่นอนก่อน แม้ว่าโดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะหายได้เองโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาพิเศษ อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อของผู้ป่วยแต่ละรายจะมีความแตกต่างกันตามความรุนแรงของโรคตั้งแต่ต้น และผู้สูงอายุจะฟื้นตัวช้ากว่าวัยอื่น แต่โดยเฉลี่ยอาการจะเริ่มดีขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 2 และดีขึ้นเรื่อยๆ ไปตลอดในช่วง 2-3 เดือน แล้วจึงเริ่มช้าลง แต่หลังจากมีอาการนาน 6 เดือนถึง 1 ปี โอกาสที่อาการจะดีขึ้นจะลดลงมาก

อย่างไรก็ตาม มีความพยายามในการวิจัยเพื่อหายามารักษาให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะการใช้ยาต้านไวรัสและยากลุ่มสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ ซึ่งข้อมูลของงานวิจัยที่ผ่านมา ยืนยันถึงประโยชน์ของการให้ยาสเตียรอยด์ เช่น การให้ยาเพรดนิโซโลน (prednisolone) เป็นเวลา 7-14 วัน จะทำให้เส้นประสาทมีการฟื้นตัวเร็วขึ้น และลดความพิการจากโรคได้บ้าง แต่ต้องให้ยานี้ภายใน 2-3 วัน 

หลังเกิดอาการขึ้น หากให้ช้ากว่านั้นจะไม่ได้ประโยชน์เท่าไร ส่วนยาต้านไวรัส เช่น acyclovir พบว่า มีประโยชน์ไม่ชัดเจน และหากจะให้ก็ควรที่จะให้โดยเร็วเช่นกัน 
ส่วนการทำกายภาพบำบัด การกระตุ้นไฟฟ้า การฝังเข็มนั้นยังสรุปผลไม่ชัดเจน จึงไม่แนะนำให้ใช้เป็นแนวทางการรักษามาตรฐาน

ภาวะแทรกซ้อนของโรค

โดยรวมผู้ป่วยราวร้อยละ 70-80 จะมีอาการหายสนิท แต่ส่วนหนึ่งจะมีอาการใบหน้าเป็นอัมพาตเพียงบางส่วน ส่วนน้อยจะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงตามมา เช่น ใบหน้าเป็นอัมพาตบางส่วนถาวร ใบหน้ากระตุก ซึ่งอาการสำคัญคือ กล้ามเนื้อใบหน้าหดตัวไม่ประสานกัน (synkinesis) เช่น เมื่อผู้ป่วยปิดตา มุมปากจะกระตุกขึ้น ปรากฎการณ์นี้เกิดจากการที่เส้นประสาทงอกกลับไปที่กล้ามเนื้อผิดตำแหน่ง ทำให้การควบคุมของกล้ามเนื้อผิดปกติ ส่วนในบางราย การงอกกลับที่ผิดปกติของเส้นประสาทนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีน้ำตาไหลขณะกินอาหาร ที่เรียกว่า “กลุ่มอาการน้ำตาจระเข้” (crocodile tear syndrome)


วิธีการดูแลและปฏิบัติตัวของผู้ป่วย

  
  • การดูแลดวงตา เนื่องจากผู้ป่วยมักปิดตาได้ไม่สนิท ทำให้เกิดการระคายเคืองตา ตาแห้ง และกระจกตาแห้งได้ง่าย จึงควรใช้น้ำตาเทียมหยอดตาบ่อยๆ เช่น ใช้น้ำตาเทียมทุก 2-4 ชั่วโมงในระหว่างวัน และใช้น้ำตาเทียมชนิดเจลหรือขี้ผึ้งหยอดตาก่อนนอน ส่วนในช่วงกลางวันควรใส่แว่นเพื่อป้องกันฝุ่นและป้องกันอุบัติเหตุต่อตา ในช่วงกลางคืนอาจใช้เทปช่วยปิดเปลือกตาให้หลับตาได้สนิท หรือใช้แผ่นปิดตาปิดชั่วคราวในระหว่างนั้น
     • การรับประทานอาหารและดื่มน้ำ ควรทำอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหรืออาหารหก หรือรั่วจากมุมปาก (ผู้ป่วยมักใช้หลอดดูดเครื่องดื่มไม่ได้เพราะปิดปากไม่สนิท
     • ควรบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าในระหว่างที่เส้นประสาทกำลังฟื้นตัว เช่น ฝึกยิงฟัน หลับตา เม้มปาก ย่นหน้าผาก
     • ควรรับประทานยาให้ครบตามแพทย์สั่ง หากได้รับยาต้านไวรัสและสเตียรอยด์
     • ควรรีบกลับมาพบแพทย์เพื่อประเมินใหม่อีกครั้ง หากมีอาการอื่นเพิ่มขึ้นจากใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก เช่น มีอาการเดิมในด้านตรงข้าม เห็นภาพซ้อน กลืนลำบาก เสียงเปลี่ยน การได้ยินลดลง ปวดศีรษะ แขนขาอ่อนแรง 
     • อาจปรึกษาแพทย์เพื่อผ่าตัดกล้ามเนื้อบางส่วน หากผู้ป่วยยังมีอาการไม่ดีขึ้นหลังเวลาผ่านไป 6 เดือน - 1 ปีแรก และมีภาวะแทรกซ้อนของการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใบหน้า ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถแสดงสีหน้าได้บ้าง โดยเฉพาะการยิ้ม

จากข้อมูลข้างต้น ผู้อ่านคงจะสบายใจขึ้นบ้างว่า โรคนี้ไม่เป็นอันตรายมากนัก ส่วนใหญ่มักหายเป็นปกติในช่วงเวลา 3 เดือน โดยอาจใช้ยาบางชนิดร่วมด้วยเพื่อให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่ระหว่างนั้นก็ควรระวังภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะการติดเชื้อที่กระจกตาและตาแห้ง ซึ่งหากอาการไม่ดีขึ้นก็ยังมีแนวทางการรักษาวิธีอื่นร่วมด้วย

ดูแลตนเอง...เมื่อหัวใจขาดเลือด



โรคหัวใจขาดเลือดเป็นอย่างไร
          หากคุณกำลังเป็นโรคหัวใจขาดเลือด อาการเหมือนรู้สึกบีบรัด แน่น อึดอัด ที่ส่วนบนของร่างกายหรือหน้าอก จะเป็นอาการของโรคที่คุณต้องเผชิญ ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่มักเป็นในคนวัยทำงาน ผู้สูงวัย และมักมีอาการเมื่อเริ่มออกกำลังกาย แต่ก็จะทุเลาลงได้หากได้พักผ่อน

          สาเหตุของโรคเกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัว หรือมีไขมันไปเกาะผนังของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบลง ปริมาณเลือดแดงผ่านได้น้อย เป็นผลทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และหากหลอดเลือดแดงตีบแคบมากจนอุดตัน จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้
ทำยังไงถึงหาย

          เมื่อเข้ารับการตรวจ และแพทย์พบว่า ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกเนื่องมาจากความปกติของหลอดเลือดหัวใจ แพทย์อาจใช้วิธีง่าย ๆ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจวัดความดันโลหิต และตรวจวัดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดเพื่อหาสาเหตุและวิธีแก้ไข

          เมื่อตรวจวินิจฉัยเสร็จเรียบร้อยผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์บางอย่าง เช่น ถ้าเป็นสิงห์อมควันก็ต้องเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่จะลดปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือด และทำให้หลอดเลือดตีบลง ดังนั้นการสูบบุหรี่จึงเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาโรคหัวใจ โดยอัตราความเสี่ยงแก่การเสียชีวิตจากโรคหัวใจวายในคนสูบบุหรี่มีมากกว่าคนที่ไม่สูบถึง 2 เท่า ซึ่งหากงดสูบบุหรี่ตั้งแต่ปีแรก ๆ ภายใน 3-5 ปี อัตราการเสี่ยงที่ว่าก็จะลดลง
ลดปริมาณไขมันในอาหาร
          - เริ่มควบคุมน้ำหนักตัวโดยลดอาหารประเภทไขมันจากสัตว์ และอย่าลืมโดยเด็ดขาดว่าการลดอาหารลงอย่างรวดเร็วหรือไดเอทแบบหักโหมไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ซึ่งคุณควรค่อย ๆ ลดอย่างช้า ๆ และต่อเนื่อง โดยลดน้ำตาลจากขนมหวาน น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ จากนั้นจึงหันมาบริโภคแป้ง และอาหารที่กากใย เช่น ผัก ผลไม้ คุมสติเมื่อเผชิญความเครียด

          - นอกจากปรับพฤติกรรม การรับประทานยาตามที่หมอสั่งก็เป็นสิ่งที่ห้ามขาดตกบกพร่อง

          - พกสเปรย์ หรือ ยาอมใต้ลิ้น เพื่อสามารถคว้ามาใช้ได้ทันท่วงทีเมื่อมีอาการ

          - ทานยาทุกวัน ป้องกันการเกิดอาการ และควบคุมความดันโลหิต หากเป็นโรคเบาหวานก็ควรทานยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้เป็นปกติด้วย 


          หากดูแลร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ว่าโรคร้ายใด ๆ หรืออาการเจ็บอกแบบไหนก็ไม่กล้าแหยมให้คุณปวดใจอีกต่อไป แต่ถ้าต้องเจ็บตัวเพราะโดนหักอกอันนี้คงต้องบอกให้กลับไปบริหารเสน่ห์กันอีกยา

วิธีแก้หน้าไหม้จากแดด


เมื่อผิวปะทะแดดอย่างจัง หน้าดำ หมองคล้ำ ริ้วรอยหยาบกร้านก็ตามมาเป็นพรวน แต่ก่อนที่จะพึ่งคอร์สทรีตเมนต์ในสปา หรือเวียนเข้าออกศูนย์ความงามด้วยค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เราลองดูวิธีแก้หน้าไหม้แดดในเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ง่ายๆ แบบเร่งด่วนกันก่อน

วิธีแก้หน้าไหม้แดดนั้นไม่ยาก หากดูแลอย่างถูกวิธีและทำอย่างต่อเนื่อง เภสัชกรรักษ์ วงษ์สาคร ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิว และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท คิวรอน จำกัด แนะนำเคล็ดลับการฟื้นฟูผิวหน้า  

“ปัญหาที่ทุกคนเจอแม้จะระดมทาครีมกันแดด SPF 60 PA++ไปแล้ว แต่ก็ยังเอาไม่อยู่ แดดยิ่งแรงผิวก็ยิ่งคล้ำขึ้น แถมยังไม่พอยังรู้สึกแสบ! ร้อน! แดง! จนถึงขั้นผิวลอกเป็นแผ่นๆ! หากปล่อยไว้ไม่ดูแลอย่างเร่งด่วน จะทำให้เซลล์ผิวใหม่หลังการลอกกลายเป็นผิวหยาบกร้าน เป็นจุดหมองคล้ำ และมีริ้วรอยตามมา ให้ท่องไว้เสมอหลังโดนแดดอย่าช้าผิวสวยรอไม่ได้ ต้องทำการฟื้นฟูทันที ตามสเตปดังนี้

1. การปรับอุณหภูมิผิวหลังโดนแดดเผานั้นสำคัญ ให้ใช้ผ้าขนหนูที่แช่เย็นหรือชุบน้ำเย็นประคบตรงบริเวณที่โดนแดดเผา เน้นเป็นจุดๆ ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะทีโซนจะเป็นพื้นที่ที่โดนแสงแดดทำร้ายมากที่สุด การทำเช่นนี้เพื่อให้อุณหภูมิของผิวหนังบริเวณผิวหน้ากลับมาเป็นปกติ ค่อยๆ ทำซ้ำ หลายๆ ครั้ง จนรู้สึกว่าผิวเย็นหายร้อน

2.เลี่ยงการถูด้วยสบู่ล้างหน้า ถ้าผิวบริเวณใบหน้าโดนแดดเผา ควรจะเลี่ยงการใช้สบู่หรือครีมล้างหน้าต่างๆ แล้วใช้เพียงน้ำสะอาดแทน หากเป็นไปได้เพื่อลดอาการระคายเคืองของผิวหน้า เลี่ยงการใช้มือสัมผัสเวลาทำความสะอาดหน้า ทาครีมบำรุง ควรใช้เครื่องนวดหน้าคุณภาพมาตรฐานหัวนวดสแตนเลส สตีลคุณภาพสูงแทนการใช้มือสัมผัสผิวโดยตรง เพื่อป้องกันการระคายเคืองกับผิวที่ตอนนี้บอบบางแพ้ง่ายเป็นพิเศษ

3. จนกว่ารอยไหม้จากแดดจะดีขึ้น ลดการใช้เครื่องสำอางต่างๆ ไว้ก่อน สาวๆ หลายคนพอโดนแดดมากๆ ก็มักรู้สึกอยากจะหันไปพี่งเครื่องสำอางจำพวกขาวใสทันที แต่ระหว่างที่ผิวยังอยู่ในสภาพการโดนเผา เครื่องสำอางเหล่านี้อาจจะยิ่งซ้ำเติมรอยแผลและการฟื้นฟูผิวได้ ฉะนั้นอดใจรอให้เวลาผิวได้ปรับตัวให้ดีขึ้นก่อนจะดีกว่า

4. เมื่อรอยไหม้จากแดดดีขึ้นแล้ว เร่งเติมน้ำให้กับผิว หลังจากโดนแดดเผา ปริมาณน้ำใต้ผิวจะลดลงอย่างมาก พอสภาพรอยไหม้เริ่มดีขึ้นระดับหนึ่ง ก็ถึงเวลาที่ต้องเติมน้ำให้กับผิวอย่างเร่งด่วน ลงโทนเนอร์และมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวให้มากกว่าปกติเป็น 2 เท่า

แต่เพราะกลไกธรรมชาติแห่งผิวพรรณมักจะตีความสารอาหารบำรุงผิวเป็นสิ่งแปลกปลอม และขัดขวางไม่ไห้สารบำรุงที่ผิวต้องการเข้าสู่ผิว ดังนั้นเราจึงควรหาตัวช่วยที่สามารถผลักครีมบำรุงเข้าสู่ผิวอย่างล้ำลึกและทันทีทันใด ในวงการความงามนิยมใช้เครื่องนวดหน้าผลักครีมเข้าสู่ผิว พร้อมนวดกระตุ้นเซลล์ผิวให้เกิดการยืดหยุ่น ดีทอกซ์ผิวหน้าให้สดชื่น คอยเติมน้ำให้ผิวอย่างเพียงพอ เพื่อเป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้คอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวได้โดยตรง

5. ขณะที่ผิวกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ให้บำรุงผิวเพิ่มเติม ด้วยโลชั่นหรือเซรั่ม ที่มีความสามารถในการปกป้อง ความชุ่มชื่นในผิวสูง โดยเฉพาะสารบำรุงที่มีส่วนผสมในการช่วยยับยั้งการขยายตัวของเม็ดสีเมลานิน อย่างเช่นส่วนผสมของ Vitamin C หรือว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจำพวก Whitening ก็จะช่วยปกป้องการเกิดฝ้าและกระให้กับผิวได้ดีขึ้น โดยใช้ควบคู่กับเครื่องนวดหน้าระบบอัลตร้าโซนิค (เทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่สูง) และกัลวานิคไอออน (ปล่อยประจุไฟฟ้าแบบอ่อนๆ ที่อาศัยการผลักดึงของขั้วบวกและขั้วลบ) เพื่อเปิดรับการกระชับรูขุมขน สู่การผลักสารสำคัญตรงเข้าบำรุงผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก พร้อมจะกลับมาแต่งหน้าสวยได้ตามปกติ

วิตามินซี


สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอย แลดูแก่ก่อนวัย มาจาก รังสี UV ในแสงแดด และ ภาวะมลพิษ อนุมูลอิสระต่าง ๆ

วิตามินซี เป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในการสร้างคอลลาเจน และ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการทำลายเซลล์ผิวหนังจากแสงแดดได้ และ ยังช่วยส่งเสริมหน้าที่กักน้ำให้กับเซลล์ผิวอีกด้วย

กระบวนการต้านอนุมูลอิสระของวิตามินซีนี้เอง ช่วยลดการก่อให้เกิดเม็ดสีที่ไม่สม่ำเสมอ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า และ ความหมองคล้ำ จึงทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส ขาวขึ้น

นอกจากนี้ วิตามินซี ยังไปเพิ่มการสร้างคอลลาเจน และลดกระบวนการทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวเต่งตึง หน้าเด้ง ผิวอ่อนกว่าวัย เซลล์ผิวชุ่มชื้น มีสุขภาพดี อีกด้วย

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายน้ำ และ มีความคงตัวต่ำ เมื่อ รับประทานวิตามินซีเข้าไป ระบบลำเลียงต่าง ๆ ของร่างกาย มีข้อจำกัดในการดูดซึมวิตามินซีเข้าไป จึงนำไปใช้งานได้ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่จะขับออกอย่างรวดเร็ว ทำให้วิตามินซีที่ผิวหนัง ที่ได้จากการรับประทาน ไม่มีความเข้มข้นเพียงพอที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ และ เพิ่มปริมาณคอลลาเจน รวมถึงลดการทำลายคอลลาเจน ดังกล่าว

วิธีการที่ดีที่สุดในการให้วิตามินซีกับผิวหนัง คือ การทาวิตามินซีกับผิวหนังโดยตรง วิตามินซีที่นิยมใช้กับผิวหนัง ได้แก่ VITAMIN C SERUM

จากงานวิจัย พบว่า การทาวิตามินซี กับผิวหนัง โดยตรง จะทำให้ผิวได้รับวิตามินซี มากกว่า การรับประทานวิตามินซี ถึง 20 เท่า

การใช้ VITAMIN C SERUM จึงเป็นการปกป้องผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย และ ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภายนอก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ผิวมีความเสื่อมจากวัย

การใช้เซรั่ม วิตามินซี ให้เหมาะสมกับผิวพรรณ ควรใช้เป็นประจำ เช้า-ก่อนนอน หรือ ตามที่ต้องการ

ทำไม...ผมหงอกก่อนวัย


ชาวเอเชีย ฝรั่ง และแอฟริกันมีสีผมต่างกัน สีเหล่านี้เกิดจากเซลล์เมลาโนไซท์ผลิตเม็ดสีเมลานินได้ สองโทนสี คือ เหลืองปนแดง และน้ำตาลปนดำ ซึ่งแต่ละเชื้อชาติจะผลิตสีออกมาในสัดส่วนที่แตกต่างกัน เมื่ออายุมากขึ้น รากผมค่อยๆ เสื่อม ทำให้ผมบางลง พร้อมกับเซลล์เมลาโนไซท์ผลิตเม็ดสีน้อยลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นสีขาวซึ่งเราเรียกว่า "ผมหงอก"

จากงานวิจัยพบว่า เมื่ออายุ 50 ปี คนส่วนใหญ่มีผมหงอกไปครึ่งศีรษะแล้ว โดยฝรั่งผมเริ่มหงอกเร็วและลามไวกว่าคนเอเชียและแอฟริกัน เพราะสีผมบลอนด์เกิดจากเม็ดสีเหลืองปนแดง ซึ่งใกล้เคียงกับสีขาวมากที่สุด เวลาเมลาโนไซท์หยุดสร้างสี จะพบว่าเส้นผมกลายเป็นสีขาวชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากชาติที่มีผมดำหรือน้ำตาลที่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาก่อนแล้วจึง ค่อยเปลี่ยนเป็นสีขาวในเวลาต่อมา

ผมหงอกก่อนวัย

ผมหงอก แสดงถึงเซลล์ร่างกายเริ่มเสื่อมลงหรือเรียกสั้นๆ ว่า "เริ่มแก่" ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มอายุคาดหวังของประชากรโลกลดลงเรื่อยๆ จึงไม่แปลกใจเลยที่หนุ่มสาวอายุเพิ่งยี่สิบก็มีผมหงอกแล้ว โดยทั่วไปผมจะเริ่มหงอกจากจอน ขมับ แล้วลามไปทั่วศีรษะ อาจเป็นเพราะหนังศีรษะแต่ละส่วน ทั้งด้านหน้า ตรงขมับ ด้านข้าง ด้านหลัง และกลางศีรษะ อย่างไรก็ตามยังไม่มีคำอธิบายแน่ชัดว่าเพราะเหตุใด แต่หากเปรียบเทียบทั้งร่างกาย จะพบว่า ผมหงอกเริ่มที่ศีรษะก่อนแล้วค่อยลามไปที่เคราและขนตามร่างกายในเวลาต่อมา

ใครมีผมหงอกก่อนวัยได้บ้าง
 
- ทายาทผมหงอก คนที่ได้รับถ่ายทอดยีนผมหงอกมาจากพ่อหรือแม่ หากพ่อแม่มีผมหงอกก่อนวัยก็เชื่อได้เลยว่าลูกมีสิทธิ์ผมหงอกตอนเป็นหนุ่มได้เช่นกัน

- สิงห์นักสูบ มีงานวิจัยว่าคนที่สูบบุหรี่ตั้งแต่อายุน้อยจะมีผมหงอกก่อนคนที่ไม่สูบ บุหรี่ เพราะสารอนุมูลอิสระจากการเผาไหม้บุหรี่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เซลล์ทั่วร่างกายแก่เร็ว

- เป็นโรคกระดูกพรุนหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ ผู้ที่เป็นโรคใดโรคหนึ่งในสองโรคนี้ บ่งบอกถึงสัญญาณความชรามาเยี่ยมแล้ว

การรักษา ไม่มีทั้งยารับประทานและยาทาที่สามารถฟื้นคืนเซลล์สร้างเม็ดสีให้ทำงานปกติ ได้เลย แต่มีวิธีเดียวคือ เมื่อเริ่มรู้ว่ามีผมหงอกแค่เพียงเส้นเดียว ควรหันมาออกกำลังกายเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ควบคู่กับรับประทานผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน หลอดเลือดหัวใจ และชะลอวัยได้

วิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาผมหงอก ก่อนวัย และอนาคตอาจมีการใช้ สเต็มเซลล์ ปลูกเซลล์รากผมที่ดีลงไปแทนได้ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในขั้นทดลอง หรืออาจใช้ ฮอร์โมนต้านความชรา แต่หากไม่ควบคุมปริมาณให้ดีอาจก่อมะเร็งได้ ต้องจับตาดูว่าทั้งสองวิธีนี้จะผ่านการรับรองจากวงการแพทย์เมื่อไร เพื่อความปลอดภัยของทุกคน อย่างไรเสียผมหงอกก็ยังเป็นผมที่แข็งแรงอยู่ หากรักษาให้เงางามก็ดูดีแบบผมสีดอกเลาได้เหมือนกัน

ความรู้เกี่ยวกับน้ำตาลในผัก


ความจริงที่ว่าผักดีต่อสุขภาพ คุณวิเศษของผักมีมากมาย แต่สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ อาจไม่เหมาะกับผักบางชนิด 

ข้อมูลดีๆ ในการเลือกกินผักเพื่อสุขภาพโดยไม่ต้องสงสัย หรือกังวล สำหรับคนเป็นเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ ไว้หลีกเลี่ยงผักบางชนิดได้ทัน

ผักที่มีน้ำตาล 3-5 เปอร์เซ็นต์

มะเขือ น้ำเต้า ใบตังโอ๋ ผักกาดขาว ผักกระเฉด แตงกวา บวบ ผักโขม ผักบุ้ง หน่อไม้ หัวผักกาดขาว ฟักเขียว ผักกาดหอม ผักบุ้งจีน ยอดฟักทอง เห็ดบัว แตงร้าน ผักตำลึง ผักกาดขาวปลี ขึ้นฉ่าย มะระ ถั่วงอก ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า กุยช่าย สายบัว ชะอม ดอกหอม กะหล่ำปลี

ผักที่มีน้ำตาล 5-10 เปอร์เซ็นต์

ฝักถั่วลันเตา ใบชะพลู ต้นหอม ดอกกะหล่ำ ถั่วแขก ผักโขม หอมใหญ่ ใบทองหลาง ดอกโสน ถั่วพู มะรุม ดอกแค ขิง หน่อไม้ ข้าวโพดอ่อน หัวปลี กระเจี๊ยบ มะละกอดิบ ใบกระถิน ยอดและฝักอ่อนกระถิน

ผักที่มีน้ำตาล 15-20 เปอร์เซ็นต์
ดอกขี้เหล็ก เมล็ดถั่วลันเตา ใบมะขามอ่อน ใบย่านาง ผักหวาน ลูกเนียง มันฝรั่ง

ผักที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์

กระจับ กลอย เผือก มันเทศ ใบขี้เหล็ก แห้วจีน  


อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอฟันธงกันชัดๆ เลยค่ะว่า ผักในกลุ่มที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์ ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคเบาหวาน ลองเช็คดูว่าควรลดผักอะไรที่เป็นของชอบบ้าง

ลูกเดือย..คุณประโยชน์ไม่เล็กเลย


หลายคนคงรู้จักลูกเดือยที่มีหน้าตาเป็นเม็ดเล็ก ๆ กลม ๆ แต่ถึงแม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ลูกเดือยกลับให้คุณประโยชน์มากมาย
               

ไม่ว่าจะมีฤทธิ์เป็นยาเย็นช่วยบำรุงกำลัง บำรุงปอด ม้าม ตับ ขับปัสสาวะ หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้ปัญหาทางเดินหายใจ ไขข้อกระดูก เหน็บชา แก้ร้อนในกระหายน้ำ และยังช่วยลดการเกิดมะเร็ง เพราะมีสารคอกซีโนไลด์ (Coxenolide) ซึ่งมีสรรพคุณในการยับยั้งการเกิดเนื้องอก 
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ลูกเดือยนั้นมีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะฟอสฟอรัสซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงกระดูกมีอยู่ในปริมาณสูง และวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาอีกด้วย 

ด้วยสรรพคุณที่หลากหลาย และคุณประโยชน์ที่มากมายเกินขนาดเล็ก ๆ นั้นทำให้ชาวจีนต่างยกย่องลูกเดือยว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกชนิดหนึ่งเลยทีเดียว!

การใช้ยาหยอดตาที่ถูกวิธี

ยาหยอดตา เป็นยาใช้ภายนอกที่ใช้เฉพาะบริเวณดวงตา เพื่อรักษาอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับดวงตาของเรา

แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า ยังมีผู้ป่วยบางรายที่ใช้ยาหยอดตาอย่างไม่ถูกวิธี แทนที่จะได้ผลในการรักษา กลับทำให้ดวงตาได้รับอันตรายมากยิ่งขึ้น
เคยมีคุณยายคนหนึ่งมาหาหมอด้วยอาการอาการที่ตาแดงน้ำตาไหลเป็นอย่างมาก สอบถามคุณยายก็ทราบว่า คุณยายใช้ยาหลอดตาที่เคยซื้อเอาไว้เมื่อประมาณเดือนที่แล้วมาหยอดตา อ่านฉลากดูก็พบว่ายายังไม่หมดอายุ และตอนซื้อมาใช้ครั้งแรกขวดเดียวกันนี้แหละ คุณยายก็ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด
แต่ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ ทั้งที่ยาไม่หมดอายุเลย เกิดอะไรขึ้นกับยาหยอดตาขวดนั้น
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจว่ายาหยอดตา ถูกจัดเป็นยาปราศจากเชื้อเช่นเดียวกับยาที่ใช้ฉีดเข้าร่างกาย การผลิตยาหยอดตา จะต้องทำภายใต้ความสะอาดเดียวกันกับยาฉีด เพื่อให้ปริมาณเชื้อน้อยที่สุดจนถึงไม่มีเลยในยาหยอดตา
ธรรมชาติของยาหยอดตาจึงไม่ควรมีเชื้อโรคเข้าไปในภาชนะบรรจุแต่อย่างใด
แต่เมื่อเราทำการเปิดยาหยอดตานั้น เชื้อโรคในอากาศก็มีโอกาสที่จะเข้าสู่ยาหยอดตาของเราได้ และไปสะสมแพร่จำนวนในขวด จนอาจเกิดโรคได้
แม้ว่ายาหยอดตาจะมีสารที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อพวกนี้อยู่ แต่ก็ได้ชั่วคราว โดยปกติแล้ว เมื่อเราเปิดใช้ยาหยอดตา ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ควรใช้ให้หมดภายใน 1 อาทิตย์ และควรเก็บไว้ในที่เย็นเพื่อไม่ให้เชื้อเจริญเติบโตได้
หากหลังจากเปิดแล้ว ยามีอายุมากกว่า 1 อาทิตย์ ก็ต้องทิ้งสถานเดียว เพราะเวลาดังกล่าวไม่แน่ใจว่ามีเชื้อโรคเกิดขึ้นหรือไม่ เราไม่ควรเอาดวงตาของเรามาเสี่ยงกับยาไม่กี่บาท มันไม่คุ้มกันเลย
การหยอดตาี่ถูกต้อง
เพื่อเป็นการรักษายาหยอดตา ไม่ให้เชื่อโรคเข้าสู่ตัวยาได้ง่าย การหยอดตาที่ถูกวิธีก็เป็นอีกทางหนึ่ง ซึ่งการหยอดตาที่ถูกต้องจะเป็นดังนี้
1.ล้างมือให้สะอาด
2.ดึงหนังตาให้กว้างขึ้น
3.เวลาหยอดปลายหลอดจะต้องไม่สัมผัสกับผิวดวงตา
4.หยอดยาจนน้ำยาหยดลงบนดวงตา กระพริบตา 1-2 ครั้ง จนน้ำยาเคลือบผิวดวงตาจนทั่ว

โยเกิร์ต...ผลิตผลจากจุลินทรีย์


นมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ต เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม โดยใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ โดยแบคทีเรียพวกนี้จะทำการเปลี่ยนน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค
โยเกิร์ต สัญนิษฐานว่าเกิดเมื่อประมาณ 400-600 ปีก่อนศริสตกาล ชาวทราเซียนซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในประเทศบัลเกเลียในปัจจุบัน ได้รู้จักวิธีการเลี้ยงแกะ และนำน้ำนมมาบรรจุในถุงหนังที่ทำจากแกะ เวลาไปไหนมาไหนก็คาดถุงนี้ติดตัวเสมอ ความอบอุ่นจากร่างกายร่วมกับจุลชีพที่มีอยู่ในหนังแกะ ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาการหมักขึ้น น้ำนมในถุงก็กลายสภาพเป็นโยเกิร์ตไปในที่สุด
ในยุโรปตะวันตก โยเกิร์ตปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 16 เมื่อกษัตริย์ฟรานซิสที่ 1แห่งฝรั่งเศส ทรงพระประชวร พระองค์มีพระอาการไม่สบายท้อง คาดว่าอาหารไม่ย่อย และก็ได้มีแพทย์ชาวตุรกีผู้หนึ่งจึงทำการรักษาโดยให้เสวยโยเกิร์ต แต่นั้นเป็นต้นมาชาวยุโรปส่วนใหญ่จึงรู้จักโยเกิร์ต
ประโยชน์ของโยเกิร์ตก็คือ ย่อยง่าย ให้ประโยชน์กับร่างกายเช่นเดียวกับการทานนม อีกทั้งยังมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร
แล้ววันนี้คุณทานโยเกิร์ตแล้วหรือยัง

รักษาสิวด้วยเปลือกมังคุด


มังคุด เป็นผลไม้จากเอเซียที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนถูกขนานนามว่่าเป็น “ราชินีแห่งผลไม้” อาจเป็นเพราะลักษณะภายนอกของผลที่มีกลีบเลี้ยงติด อยู่ที่หัวขั้วของผลคล้ายมงกุฎของพระราชินีก็ได้
เราๆ ท่านๆ เมื่อทานมังคุดเสร็จก็จะเหลือเปลือกของมันทิ้งเอาไว้ แน่นอน เราก็ทิ้งเปลือกของมันลงสู่ถังขยะในเวลาต่อมา
แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าในเปลือกมังคุดนั้น ได้ซ่อนความลับที่น่าตกใจเอาไว้นั่นก็คือ สารที่เรียกว่า แทนนิน(tannin)
แทนนิน(tannin) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ที่มีโครงสร้างซับซ้อน เป็นกรดอ่อนมีรสผาด แทนนินมีฤทธิ์ฝาดสมาน และมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย
นอกจากนี้ในมังคุดยังพบสารสารแซนโทน(Xanthon)ช่วยยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังได้ และสารที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า แมงโกสติน (Mangostin) มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ และต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองได้อีกด้วย
จะเห็นได้ว่าสารต่างๆในเปลือกมังคุดนั้นมีฤิทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ จึงสามารถที่จะนำมาใช้ในการรักษาสิวได้
วิธีการก็คือ ใช้เปลือกมังคุดผสมน้ำเปล่าที่สะอาด เน้นว่าต้องเป็นน้ำเปล่าอย่าให้ข้นหรือใสเกินไป พอกหน้าจนแห้งแล้วล้างออก หรือใช้แต้มหัวสิวหนอง ก็อาจจะยุบได้ภายใน 1-2 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาเลยก้ได้

ห่างไกลโรคอัลไซเมอร์ด้วยอาหาร 9 ชนิด


1. น้ำมันสลัด ที่อุดมไปด้วยวิตามิน E จะช่วยป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง

2. เนื้อปลา DHA ช่วยในการทำงานของเซลล์ประสาท

3. ผักใบเขียว เป็นแหล่งของกรดโฟเลตช่วยลดระดับของกรดอะมิโนชนิด Homocysteine สาเหตุของการเสื่อมสภาพของเซลล์

4. อะโวคาโด มีวิตามิน E สูงป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง และช่วยบำรุงผิว

5. เมล็ดทานตะวัน อุดมไปด้วยวิตามิน E ป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง

6. ถั่วลิสงและเนยถั่ว แหล่งของไขมันที่ดี และเต็มไปด้วยวิตามิน E ช่วยให้หัวใจและสมองมีสุขภาพดีและทำงานอย่างถูกต้อง

7. ไวน์แดง หากดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์

8. ผลเบอร์รี่ ช่วยกำจัดสารพิษของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียความจำ

9. ธัญพืชไม่ขัดสี ลดปัจจัยเสี่ยงของหลอดเลือด ซึ่งอาจมีบทบาทในการเกิดโรคจากสมอง

5 วิธีกินเลี้ยง..ลดเสี่ยงอ้วน


คำแนะนำวางแผนก่อนกิน ป้องกันอ้วนจากงานเลี้ยง ของสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล มาฝากค่ะ
1. หากทราบล่วงหน้าว่ามีงานเลี้ยงตอนเย็น ควรลดปริมาณอาหารมื้อกลางวันลง

2. ถ้ามีงานเลี้ยงตอนกลางวัน ควรลดปริมาณอาหารมื้อเย็นลง

3. กินอาหารบุฟเฟต์ ให้ตักอาหารเอง และตักแต่พอกิน ไม่เลือกอาหารมันจัด แต่ควรเลือกกินสลัด หรืออาหารที่มีผักร่วมด้วย

4. เลือกกินผลไม้ แทนขนมหวานหรือเค้ก

5. ดื่มน้ำเปล่า แทนน้ำอัดลม
ปฏิบัติได้ดังนี้ งานเลี้ยงครั้งต่อไป ไม่ต้องกลัวน้ำหนักเพิ่มแล้วค่ะ

น้ำมะนาวรักษาสิว





หาเป็นสิวไม่หายด้วยยาแล้วละก็ ลองหันมารักษาด้วยวิะีทางธรรมชาติ ที่คุณอาจมองข้ามไปด้วยวิธีง่ายกับมะนาวของใกล้ตัวของคุณ ซึ่งหาได้ง่ายมาก ไม่ว่าเป็นห้องครัว หรือตามตลาดทั่วไป รักษาสิวด้วยมะนาว อาจจะได้ผลดีกว่ายาแพงๆของคุณก็เป็นไปได้
ผลการ รักษาสิว – ได้มีทดลองใช้น้ำมะนาวทั้งสองวิธีแล้ว (ทาโดยตรงบนผิวหน้า และดื่ม) และพบว่าภายใน 3 สัปดาห์ สิวก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อว่าการผสมน้ำมะนาวกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน จะช่วยให้ผลเร็วขึ้น

ทาน้ำมะนาวโดยตรงบนสิว เพื่อรักษาอาการ สิว

น้ำมะนาวมีกรดผลไม้ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids ทำงานโดยการลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยให้เซลล์ผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างได้ผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ยังช่วยชำระรูขุมขนและช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น สดใสด้วย

วิธีรักษา สิว โดยสูตรน้ำมะนาว

  1. ล้างหน้าให้สะอาด
  2. บีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชาในถ้วยเล็ก ใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก อาจผสมน้ำหากรู้สึกว่าแสบเกินไป
  3. ป้ายน้ำมะนาวลงบนสิว สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวหัวหนอง
  4. ทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่ต้องล้างออก ล้างออกตอนเช้า และทาอีกครั้งก่อนเมคอัพ (หากคุณต้องใช้เมคอัพ)
  5. หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวนั้นแรงเกินไป แม้ว่าจะผสมน้ำให้เจือจางแล้วก็ตาม ให้ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
วิธีการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล

ดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาสิว

สามารถใช้วิธีการดื่มน้ำมะนาวเพื่อรักษาและทำความสะอาดภายในร่างกาย หรือขจัดสารพิษออกจากตับ และเพื่อให้การดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำมะนาวนั้นเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ที่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย ดื่มง่าย และทำได้ง่าย

อวดวงแขนขาวได้ด้วย "มะขาม"


วันนี้มีวิธีดูแลสุขภาพผิวใต้วงแขนมาฝากเพื่อนๆค่ะ หลังจากที่ได้กลิ่นกายหอมสดชื่นน่าเข้าใกล้แล้ว ก็อย่าลืมบำรุงรักษาผิวใต้วงแขนให้ขาวใสพร้อมเผยโชว์ และวิธีง่ายๆ ทำกันได้ทุกบ้านก็คือ รักแร้ขาวด้วยมะขาม


ถ้าพร้อมกันแล้วก็เตรียมหามะขามกับน้ำผึ้งมาได้เลยค่ะ เพียงแค่ใช้มะขามเปียกที่ซื้อจากตลาดสัก 1 กำผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย มาทาใต้วงแขนทิ้งไว้ประมาณ 5 – 10 นาที แล้วล้างออก สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นประจำ เท่านี้คุณก็จะได้รักแร้ขาวเนียนพร้อมอวดโฉมมาไว้กับตัวแล้วล่ะค่ะ

ตำลึง..ผักใบเขียวแสนวิเศษ

ประโยชน์ของตำลึง

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของตำลึง

ตำลึง หรือ ผักตำลึง อีกหนึ่งคุณค่าทางด้านสรรพคุณและคุณค่าทางอาหารทั้งประโยชน์ของตำลึงรวมอีกด้วยค่ะ และ สรรพคุณของตำลึก ก็ยังจัดเป็นสมุนไพรที่ดีราคาไม่แพงแถมยังหาซื้อได้ง่ายดายมาก ๆ อีกด้วยนะค่ะ และนอกจาก สรรพคุณของตำลึง แล้ว ประโยชน์ของตำลึง ก็ยังมีมากมายที่คุณพ่อบ้านและคุณแม่บ้านน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีเชียวนะค่ะ ว่าแล้ววันนี้ไม่ของพูดมากเรามาดูสาระน่ารู้เกี่ยวกับตำลึงที่เราได้ทำการรวบรวมมาให้นั่นก็คือ ประโยชน์ของตำลึง และ สรรพคุณของตำลึง นั่นเองค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของตำลึง


คุณค่าทางอาหารของตำลึง

ยอดของตำลึงใช้ปรุงอาหาร ตำลึง 100 กรัม ประกอบไปด้วยโปรตีน 3.3 กรัม วิตามินบี1 0.17 มิลลิกรัม แคลเซียม 126 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4.6 มิลลิกรัม ไนอาซีน 1.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 13 มิลลิกรัม ใยอาหาร 2.2 กรัม และเบต้าแคโรทีนสูงถึง 699.88 ไมโครกรัม มากกว่าฟักทองและมันเทศซึ่งมีเบต้าแคโรทีน 225 และ 175 ไมโครกรัมตามลำดับ ต่อปริมาณ 100 กรัมเหมือนกัน


ประโยชน์ของตำลึง

ใบดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ตัวร้อน ดับพิษฝี แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้คัน ดอก แก้คัน เมล็ด ตำผสมน้ำมันมะพร้าวทาแก้หิด เถา ใช้น้ำจากเถาหยดตา แก้ตาฟาง ตาแดง ตาช้ำ ตาแฉะ พิษอักเสบในตา ดับพิษ แก้อักเสบ ชงกับน้ำดื่มแก้วิงเวียนศีรษะ ราก ดับพิษทั้งปวง แก้ตาฝ้า ลดไข้ แก้อาเจียน น้ำยาง ต้น ใบ ราก แก้โรคเบาหวาน หัว ดับพิษทั้งปวง
 สรรพคุณของตำลึง

สรรพคุณของตำลึง

รักษาโรคเบาหวาน : ใช้เถาแก่ ๆ ประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้

ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ : ควรรับประทานสด ๆ เพราะเอนไซม์ในตำลึงจะย่อยสลายง่ายเมื่อโดนความร้อน

ลดอาการคัน อาการอักเสบเนื่องจากแมลงกัดต่อยและพืชมีพิษ : นำใบตำลึงสด 2-20 ใบ ตำให้ละเอียดผสมกับน้ำ คั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะหาย (ใช้ได้ดี สำหรับหมดคันไฟ หรือใบตำแย)

แผลอักเสบ : ใช้ใบหรือรากสด ตำพอกบริเวณที่เป็น

แก้งูสวัด, เริม : ใช้ใบสด 2 กำมือ ล้างให้สะอาด ผสมพิมเสนหรือดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน พอกหรือทาบริเวณที่เกิดอาการ

แก้ตาช้ำตาแดง : ตัดเถาเป็นท่อนยาวประมาณ 2 นิ้วนำมาคลึงพอช้ำ แล้วเป่า จะเกิดฟองใช้หยอดตา

ทำให้ใบหน้าเต่งตึง : นำยอดตำลึง 1/2 ถ้วย น้ำผึ้งแท้ 1/2 ถ้วย นำมาผสม ปั่นให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวันได้จะดีมาก

- ใบใช้ในการแก้ไข้ ตัวร้อน ตาแดง ตาเจ็บ
- เถานำน้ำต้มจากเถาตำลึงมาหยอดตาแก้ตาแดง ตาฟาง
- ดอกตำลึงช่วยทำให้หายจากอาการคันได้
- รากใช้แก้อาการอาเจียน ตาฝ้า
- น้ำยางจากต้นและใบช่วยลดน้ำตาลในเลือด

เพชรสังฆาต..แก้ริดสีดวงได้ค่ะ

เริ่มต้นปัญหาคือว่า เราเริ่มจากอาการท้องผูกค่ะ มันคงสะสมมาเรื่อยๆ เพราะขับถ่ายไม่ค่อยเป็นเวลานานแล้วแต่ไม่คิดหรอกค่ะว่าจะมาเป็นริดสีดวงจนวันหนึ่งรู้สึกว่ามีก้อนอะไรไม่รู้เล็กๆ เท่าปลายนิ้วก้อยอยู่ที่รูปลายทวารหนัก เวลาเดินก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อยค่ะ
       เราก็เริ่มเสิร์ทข้อมูลก็ทำให้คิดได้ว่า น่าจะเป็นริดสีดวงแบบภายนอก ก็เลยไปปรึกษาพี่เภสัชแถวบ้าน ให้ยา Proctosedyl มาให้เหน็บแค่ 3 เม็ด ให้ไปลองเหน็บก่อน
      แต่วันต่อมา ติ่งเริ่มยื่นออกมาค่ะ รู้สึกปวดเล็กน้อยและปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เลยหาข้อมูลในพันทิปเพิ่มเติมเจอ สมุนไพรชื่อเพชรสังฆาต เค้าว่ากันว่า ดีนักหนา สนใจค่ะ เพราะว่าอายไม่กล้าไปหาหมอ
       เลยไปซื้อสมุนไพรนี้ที่เซนทรัลลาดพร้าวค่ะ ระหว่างไปก็แวะร้านวัตสัน ปรึกษากับเภสัชกร ก็เล่าอาการให้ฟัง พี่เภสัชเค้าก็เลยบอกว่าของเราอันตรายมาก เป็นริดสีดวงแบบภายใน(แต่ที่เราอ่านมาเรียกแบบภายนอก) และอยู่ระยะที่ 3 แล้ว และผนังภายในของเราหมดความยืดหยุ่นจนเส้นเลือดมาอุดรวมตัวกันจนเป็นติ่งออกมา (เราก็คิดในใจว่าน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย) ต่อไปอาจต้องผ่าตัด คราวนี้ก็กลัวเลยค่ะ ยกภาพมาให้ดูด้วย (ขอบอกว่าภาพน่ากลัวมากๆ บวมแดงขนาดเท่าไข่ไก่โน่นเลย) 
      แล้วพี่เภสัชก็บอกว่า พี่ก็จะสั่งยาให้น้องแล้วกัน ก็คือยา daflon แต่ต้องทานต่อกัน 3 เดือนเลยนะคะ ก็เลยบอกพี่เค้าว่า ถ้าจะทาน 3 เดือนขอปรึกษาหมอก่อนดีกว่า( เพราะเบิกได้ด้วย >>อันนี้คิดในใจ ยอมอายไม่ยอมเสียตังค์) เราเลยสั่งแค่ Proctosedyl มา 1 กล่อง 94บาท (พี่เภสัชทำหน้าแบบเบะๆ ปากใส่ด้
วยนิดนึง แต่ไม่สนใจหรอกค่ะ) 


       จากนั้นก็เดินต่อไปซื้อสมุนไพรเพชรสังฆาตมาปุกนึง 120 บาทคิดว่าเดี๋ยวขอลองก่อนซักอาทิตย์ถ้าไม่หายก็ยอมหาหมอละกัน
       เราทานเพชรสังฆาตวันละ 6 เม็ด เหน็บยาด้วยเช้า-ก่อนนอน ผ่านไปแค่ 1 วันติ่งที่โผล่ดันกลับเข้าไปได้ละค่ะ ไม่รู้มันออกฤทธิ์เร็วเกินไปรึป่าว อิอิ ผ่านไป 2 วัน ก็ไม่รู้สึกเจ็บเลย หลังจากนั้นก็เริ่มเหน็บยาเฉพาะกลางคืนแล้วก็ทานเพชรสังฆาตวันละ 6 เม็ดเช่นเคย


       ครบ 1 สัปดาห์ อาการเหมือนจะหายขาดแล้วค่ะ ติ่งยุบแทบคลำไม่เจอแล้ว คิดว่าน่าจะปกติแล้วค่ะ ดีใจมากๆ
ขอบคุณเพชรสังฆาตจริงๆ  ถ้าใครเป็นริดสีดวง อย่าลืมลองเพชรสังฆาตนะคะ เป็นแคปซูลทานง่ายค่ะ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งในการรักษาริดสีดวงค่ะ
      ขอโทษนะคะ ที่เล่ามายาวมากๆ แต่เรียบเรียงไม่เก่ง เลยต้องเล่าทั้งหมด ถือว่าเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ก็แล้วกันนะคะ เพราะความรู้ด้านนี้น้อยจริงๆ ถ้าเพื่อนๆ มีอะไรแนะนำเกี่ยวกับเรื่องริดสีดวง ก็ยินดีรับฟังเยอะๆ เลยนะคะ เพราะกลัวมันกลับมาอีกค่ะ

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

ร่มเงาป้องกันรังสียูวีไม่ได้


 บางคนคิดว่า อยู่ในร่มเงาของต้นไม้ ในรถยนต์ ใส่เสื้อแขนยาวก็หนีพ้น รังสียูวีได้ แต่เป็นเรื่องเข้าใจผิด

       ทั้งนี้ ศจ.เอคฮาร์ด ไบรบาร์ต จากสมาคมแพทย์ผิวหนังในเมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า การสวมใส่เสื้อผ้าฝ้ายแล้วตากแดดนาน ๆ ก็ไม่อาจป้องกันไม่ให้ผิวไหม้แดดได้ หากไปเที่ยวทะเล หรือต้องผจญภัยกับแสงแดดนาน ๆ ก็ควรสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหนา หรือใส่เสื้อผ้าตัวหลวมโคร่ง แบบชาวเบดูอน เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก
      นอกจากนี้ พ่อแม่ก็ควรใส่ใจกับเสื้อของลูก ๆ ด้วยว่า เนื้อผ้ามีความหนาพอที่จะป้องกันแดดได้ แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กจนถึงหนึ่งขวบ ก็ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดแรงกล้า หรือแม้แต่ซันบล็อก หรือโลชั่นน้ำนมกันแแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ ก็ไม่อาจป้องกันรังสียูวีตัวร้ายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
      นอกจากนี้ การทาครีมกันแดดน้อยเกินไป และทาช้าเกินไปก็เป็นวิธีที่ผิด เราควรทาครีมที่ใบหน้าและไหล่ด้วย และทาครีมครึ่งหลอดทั้งตัว และต้องทาบ่อย ๆ หากไปเล่นน้ำทะเลสัก 20 นาที ก็ควรทาครีมกันแดดซ้ำอีก เพราะถึงแม้จะเป็นครีมกันแดดชนิดน้ำ แต่เมื่อเจอน้ำทะเลเค็ม ๆ ก็จะหลุดหายไปครึ่งหนึ่ง หรือแม้แต่ในรถรังสียูวีเอ ก็สามารถส่องทะลุกระจกได้ หากมีเด็ก ๆ ในรถก็ควรติดอุปกรณ์กันแดดไว้ที่กระจกด้านหลังรถด้วย

มื้ออาหารเพื่อสุขภาพสมอง

วิธีดูแลเส้นผมแบบเริ่ดๆๆ



ในยามที่เศรษฐกิจไม่สู้จะดีอย่างนี้ เรามาเริ่มต้นดูแลเส้นผมด้วยตัวเองกันดีกว่า กับ 7 วิธีที่จะทำให้ผมสวยเวอร์ และยังเป็นเป็นวิธีช่วยประหยัดงบประมาณในกระเป๋าอีกทางหนึ่งด้วย
    1. อย่าทำอะไรกับผมมากเกินไป      หลายคนอาจเคยเข้าสปาผมมาบ้างแล้ว จะสปาเพื่ออะไรก็ตาม จะเพื่อผ่อนคลายหนังศีรษะ หรือเพื่อเส้นผมเงางาม มันก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรทำบ่อยเกินไป ยิ่งถ้าเราไปทำสี ดัด หรือยืดมาก ๆ เข้าแล้ว มันก็เป็นการทำร้ายเส้นผมขั้นรุนแรงโดยที่ไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพดีดังเดิมได้อีก นอกจากจะโกนผมทิ้ง แล้วรอวันเวลาที่มันจะงอกเงยขึ้นมาใหม่นั่นแหละ

    2. อย่ามองข้ามเรื่องของน้องหวี (เลือกดี ๆ ล่ะตัวเอง)       อันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การเลือกใช้หวี ก่อนอื่นให้เลือกใช้หวีซี่ห่าง เพราะว่าถ้าใช้เจ้าหวีซี่ถี่ ๆ เล็ก ๆ มันจะทำร้ายเส้นผมโดยทำให้เกล็ดผมฉีก และหนังศีรษะถลอกได้ ใครที่กระเป๋าหนักหน่อยให้เลือกใช้หวีที่เคลือบสาร Teflon จะดีกว่า (หลาย ๆ คนอาจคิดแค่ว่าเจ้า Teflon มีแต่เคลือบอยู่บนผิวกระทะเท่านั้น จริง ๆ แล้วเคลือบบนหวีก็มีนะ) หวีที่เคลือบสารดังกล่าวจะช่วยลดการเสียดสีของเส้นผม ลดปัญหาไฟฟ้าสถิตย์ โดยเฉพาะในยามที่อากาศแห้ง หรือผู้ที่มีผมแห้งมาก ๆ

    3. ห้ามหวีผมขณะที่มันเปียกเด็ดขาด      หลังสระผม แน่นอนว่ามันจะต้องเปียก และยุ่งเหยิงไปหมด บางคนอาจทนไม่ไหวอยากจะหวีให้มันเรียบ ๆ นั่นเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ขอย้ำ… ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลาที่เส้นผมเปียก คือช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอมากที่สุด และไม่ควรทำอะไรกับมันมากในช่วงเวลานั้น ถ้าอยากจะสะสางความยุ่งเหยิงจริง ๆ ควรใช้เพียงนิ้วมือสางจากโคนผมมาปลายผมก็เพียงพอแล้ว หลังจากนั้นเมื่อผมใกล้แห้ง จึงหวีด้วยแปรงหวีผมคู่ใจของคุณได้

    4. ห้ามทำให้ผมแห้งด้วยลมร้อนจัดจากไดร์เป่าผม      ด้วยความเคยชิน บางคนอาจไดร์ผมด้วยลมร้อนทันทีหลังสระ ซึ่งเป็นอันตรายต่อเส้นผมเอามาก ๆ เลย เพราะอุณหภูมิที่สูงจัด สามารถทำลายเส้นผม และทำให้น้ำหล่อเลี้ยงเส้นผมต้องสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสูญเสียความชุ่มชื่นของผมไปแล้ว ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ผมของคุณจะเสีย และเปราะหักได้ง่าย วิธีที่ดีที่สุดในการถนอมผมก็คือไดร์ผมด้วยลมอุ่น ๆ หรือไม่ก็ลมธรรมดาจะดีที่สุด
    5. ควรชโลมครีมนวดผมทันทีหลังสระ      ครีมนวดบางตัวมีส่วนผสมของซิลิโคน ซึ่งมีข้อดีตรงที่มันจะช่วยปกป้องเส้นผมจากการถูกทำร้าย และยังช่วยซ่อมแซมสภาพผมให้ดีขึ้นมาได้ด้วยนะคะ

    6. ควรใช้ทรีตเมนท์บำรุงผมสูตรเข้มข้นสัปดาห์ละครั้ง      บำรุงผมด้วยทรีตเมนท์ชนิดเข้มข้น เหมาะสำหรับเส้นผมที่ต้องการการบำรุงอย่างล้ำลึก โดยเฉพาะผมที่ผ่านการดัด ทำสี หรือยืด โดยปกติจะหมักทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที โดยมากมีสองประเภทให้เลือกใช้ คือสูตรน้ำมัน และสูตรโปรตีน ซึ่งแนะนำให้ใช้แบบโปรตีน เพราะมันเข้มข้นกว่า ซึมเข้าสู่เส้นผมได้ดีกว่า ในขณะที่สูตรน้ำมันเหมาะสำหรับผมที่ผ่านการยืด หรือทำรีบอนด์มาแล้ว

    7. ควรตัดเส้นผมส่วนที่เสียทิ้ง      ผู้คนส่วนมากไม่ชอบที่จะตัดผมส่วนที่เสียออกไป เพราะเสียดายเส้นผมอันเป็นที่รักที่สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูฟูมฟักมานมนาน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ให้ตัดใจเล็มผมส่วนที่เสียจะดีกว่า เพราะผมที่เสียแล้วย่อมไม่มีประโยชน์อะไร แถมยังจะทำให้จัดแต่งทรงผมทำได้ยากอีกด้วย

ผิวขาดน้ำ..สาเหตุของการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

ร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70% เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้กันมาตั้งแต่ประถม หากร่างกายขาดน้ำ จะส่งผลกระทบกับการทำงานของระบบต่าง ๆ อีกทั้งยังทำให้ผิวพรรณแห้ง หยาบกร้านและยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผิวเราขาดน้ำ เรามีวิธีเช็คสภาพผิวหน้าง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ


 1. ใช้ปลายนิ้วกดหรือยกผิวหนังบริเวณโหนกแก้มเบา ๆ คอยสังเกตว่าเกิดรอยแห้งบนผิวที่กดลงไปหรือไม่ ซึ่งรอยแห้งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสภาพผิวหน้าของเราว่าขาดน้ำมากน้อยแค่ไหน

      2. ความมันที่ปรากฏบนผิวหน้า เราไม่สามารถใช้เพียงน้ำมันเป็นตัวตัดสินสภาพของผิวหน้าได้ คนที่หน้ามันเงา จนแทบจะทอดไข่ได้ในแต่ละวัน ลองสังเกตดูว่า ผิวหน้าที่มันนี้แลดูแห้งกร้าน ไม่เรียบ มีริ้วรอยหรือไม่ เพราะความมันส่วนเกินบนใบหน้าอาจจะเกิดจากสภาพผิวที่ขาดน้ำ จนผิวหน้าต้องผลิตน้ำมันออกมาเพื่อหล่อเลี้ยงผิวแทนก็ได้นะ

       สำหรับการดูแลผิวที่ขาดน้ำ ก็ใช้หลักการไม่ยาก ในเมื่อขาด เราก็จัดการเติมน้ำส่วนที่ขาดให้กับผิวเราเสียสิคะ แน่นอนว่าเรามีวิธีการเติมน้ำให้ผิวมาฝากกัน

      1. หลักการพื้นฐานในการพื้นฟูสภาพผิวที่ขาดน้ำ คือ การดื่มน้ำ แม้จะมีกูรูบางท่านออกตัวว่าลองกับตัวเองแล้วพบว่าการดื่มน้ำไม่ได้ทำให้ผิวชุ่มชื่นขึ้น แต่จากการวิจัยมีผลการทดสอบที่สามารถยืนยันได้ กับเด็กฝาแฝดคนที่ดื่มน้ำน้อยกับคนที่ดื่มน้ำเพียงพอ ผลปรากฏว่าคนที่ดื่มน้ำน้อยจะมีผิวแห้งกร้านกว่าคนที่ดื่มน้ำเพียงพอ เพราะฉะนั้นนี่คือกฎพื้นฐานของสาว ๆ ที่จะต้องจำไว้เพื่อดูแลตัวเอง

      2. ใช้ครีมบำรุงผิวหรือมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีคุณสมบัติในการเติมน้ำให้กับผิวชั้นใน ประเภท Hydrate ทั้งหลาย เพราะหากเลือกเติมน้ำเฉพาะผิวชั้นนอก จะทำให้ใบหน้าของเราดูมันวาวมากเกินไป สำหรับสาว ๆ ที่ผิวมันเพราะผิวขาดน้ำไม่ต้องกลัวว่าใช้แล้วหน้าจะยิ่งมันมากขึ้น เพราะเมื่อผิวของเราชุ่มชื่นแล้ว การผลิตน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้าก็จะลดลง ทำให้ผิวหน้าของเราลดความมันลงได้

      3. พักผ่อนให้เพียงพอ ลดการนอนในห้องแอร์ที่ทำให้ผิวสูญเสียน้ำและแห้งกร้านได้ง่าย ซึ่งการนอนไม่เพียงพอในแต่ละวันจะทำให้ผิวหน้าของเราดูแก่ก่อนวัย แลดูเหนื่อยล้าได้